10 เรื่องน่ารู้ก่อนเริ่มชีวิตนักเรียนนอก
ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยผ่านไปเร็วกว่าที่คิด กิจกรรมต่างๆ ทั้งในและนอกห้องเรียน ล้วนเป็นช่วงเวลาของการเรียนรู้ที่สำคัญ และสิ่งที่เรากำลังจะบอกต่อไปนี้คือ 10 เรื่องจากประสบการณ์ตรงของรุ่นพี่ที่เฟรชชี่ทุกคนควรรู้ไว้
1. ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยจริงๆ ไม่เหมือนในซีรี่ย์
ฉากในซีรี่ย์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตเด็กมหาวิทยาลัย มักจะเต็มไปด้วยนักศึกษาหน้าตาดี หน้าผมจัดเต็ม แต่งตัวสุดชิค เดินเฉิดฉาย และดูสุขสบายเรียนกันน้อยเหลือเกิน แต่ในความเป็นจริงนั้นคุณจะต้องทุ่มเทให้กับการเรียนอย่างหนักจนหัวฟู บางวันแทบไม่มีเวลาโปะแป้งฝุ่นด้วยซ้ำ หรือห้องเรียนต่างๆ ที่ดูกว้างขวาง ทันสมัย บางทีก็อาจจะเป็นการจัดฉากขึ้นหรือถ่ายจากที่อื่นแทน ฉะนั้นอย่าคาดหวังมากเกินไปว่าจะได้นั่งเรียนในห้องเริ่ดๆ แบบพระนางในซีรี่ย์
อยากรู้อินไซท์อ่าน จัดตารางชัวิตพิชติเรียนต่อ เมื่อลาออกจากงานมาเรียนต่อ
1. มาเรียนอย่างมีเป้าหมาย : มาเรียนเพราะอะไร ทําไมต้องเรียนต่อ
2. เตรียมตัวให้พร้อม ทั้งร่างกาย ความคิด และจิตใจ
3. ตีแตกตารางเรียน - เล่น : จัดการเวลาให้อยู่หมัด
4. เปลี่ยนมุมกด (ดัน) ให้เป็นมุมผลัก (ดัน)
5. คบเพื่อนอารมณ์ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
6. Work hard Play hard ชีวิตอย่าอยู่แต่ในมหาลัย หากิจกรรมอะไรทําจะได้ไม่เครียด
2. อย่ากังวลเรื่องที่พักอาศัยมากเกินไป
เรื่องการหาที่พักคือหนึ่งในขั้นตอนของการไปเรียนต่อเมืองนอกที่นักศึกษาและผู้ปกครองส่วนใหญ่เสียเวลาไปกับมันมากที่สุด เรามักพยายามมองหาที่พักที่สะดวกสบายและราคาถูกที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งนั่นเป็นไปได้ยากมาก สิ่งที่คุณควรทำคือกำหนดงบประมาณที่ตัวเองมี และเลือกความสะดวกเท่าที่จ่ายไหว บางทีอาจจะได้ที่พักที่เก่าไปสักหน่อย หรือต้องแชร์พื้นที่ร่วมกับรูมเมทหลายคน แต่ถ้าคนอื่นเขาอยู่กันมาได้ มันก็ไม่น่าใช่ปัญหาใหญ่อะไร และเอาเข้าจริงๆ การออกไปเรียน ท่องเที่ยว รวมถึงทำกิจกรรมต่างๆ มากมาย ก็อาจจะทำให้คุณแทบไม่ได้อยู่ห้องเลยด้วยซ้ำ
3. ไม่จำเป็นต้องซื้อหนังสือทุกเล่มที่อยู่ใน Reading List
ในวันแรกของการเปิดคอร์ส อาจารย์มักจะแจกรายชื่อหนังสือที่ควรอ่านมาให้แบบยาวเป็นหางว่าว ถ้าซื้อหนังสือทั้งหมดนั่นคุณอาจจะถึงขั้นต้องอดมื้อกินมื้อก็เป็นได้ ในความเป็นจริงแล้วหนังสือบางเล่มมีแค่บางบทเท่านั้นที่จำเป็นต้องอ่าน คุณควรจะเลือกซื้อเฉพาะเล่มที่จำเป็นจริงๆ (แนะนำให้ซื้อหนังสือมือสองจะประหยัดไปได้อีกเยอะทีเดียว) ส่วนบางเล่มที่น่าจะหยิบยืมจากห้องสมุดได้ก็ยืมเอาดีกว่า ถ้าจะให้ชัวร์ลองถามจากรุ่นพี่ก็ได้ค่ะว่าเล่มไหนบ้างที่ควรค่าแก่การลงทุน
4. เปิดประตูห้องไว้บ้างก็ดีนะ
เราไม่ได้กำลังสนับสนุนให้คุณเป็นพวกชอบโชว์ แต่การเปิดประตูห้องเอาไว้ จะทำให้คนอื่นกล้าเข้ามาพูดคุยและทักทายกับคุณมากขึ้น หรือบางทีถ้าเห็นเพื่อนเดินผ่าน คุณก็อาจจะเป็นฝ่ายส่งยิ้มและทักทายก่อนบ้างเพื่อสานสัมพันธ์ ทำให้คุณได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ เพิ่มขึ้น
5. เครื่องซักผ้าไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
หลายคนที่ไม่เคยใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมาก่อนมักจะกังวลกับสารพัดเรื่อง ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องการซักผ้า เพราะเครื่องซักผ้ามักจะมีปุ่มอะไรที่ไม่คุ้นตาเยอะแยะไปหมด แค่เห็นปุ่มก็มึนแล้ว ซึ่งคุณไม่ควรกดมั่วนะไม่งั้นแทนที่จะได้ซักผ้าอาจกลายเป็นปั่นแห้งแทนได้ ถ้าเป็นไปได้ในควรขอคำแนะนำจากคนที่เคยใช้มันก่อนจะดีกว่า และครั้งแรกที่ซักควรลองชิมลางซักเสื้อผ้าเก่าๆ ที่ไม่ต้องทะนุถนอมมากก่อน อ้อ สำหรับนักเรียนไทยที่ไปเรียนเมืองหนาว ลองศึกษาวิธีใช้เครื่องอบผ้าเบื้องต้นไปสักนิดก็ดีนะคะ เพราะคุณจะต้องใช้มันบ่อยๆ อย่างแน่นอน
6. ทำอาหารกินเองไม่ใช่เรื่องใหญ่
เดี๋ยวนี้ในเมืองไทยมีผงปรุงอาหารสำเร็จรูปวางขายกันอย่างแพร่หลาย ก่อนแพ็คกระเป๋าไปเรียนต่อขอแนะนำให้ซื้อมาลองชิม ถ้าเมนูไหนถูกใจก็ตุนไปเยอะๆ หน่อย แล้วจะรู้ว่ามันมีประโยชน์มากจริงๆ ส่วนในเมืองนอกก็มีวางขายกันอยู่หลายยี่ห้อเหมือนกัน แต่บางทีรสชาติอาจจะไม่ถูกปากคนไทยนัก การพกผงปรุงรสและพริกป่นไปจากเมืองไทยช่วยได้เยอะค่ะ ใส่เพิ่มลงไปสักหน่อยน่าจะช่วยให้เจริญอาหารได้มากขึ้น
7. ดูแลข้าวของตัวเองให้ดี
โดยเฉพาะคนที่อยู่หอพักร่วมกับรูมเมทหลายคน ข้าวของส่วนตัวที่ไม่คิดจะแชร์ร่วมกับคนอื่น ควรเก็บแยกออกมาต่างหาก หรืออุปกรณ์บางอย่างเช่นเครื่องครัว ที่บางทีรูมเมทอาจมาขอยืมใช้บ้าง ก็ถือเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่แบ่งปันกันได้ แต่ถ้าบางคนไม่ล้างคืนให้ คุณก็ต้องกล้าที่จะเตือนเขาต่อหน้าตรงๆ ไม่ควรเก็บไปนินทาลับหลัง ส่วนพวกของใช้ส่วนรวมอย่างเช่น กระดาษทิชชู่ น้ำยาล้างจาน ต้องตกลงกันตั้งแต่แรกว่าจะแชร์ค่าใช้จ่ายกันอย่างไร เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดปัญหาขัดใจกันในอนาคต
8. ลองทุกอย่างแต่ไม่จำเป็นต้องชอบทุกอย่าง
ช่วงแรกของการเรียนมหาวิทยาลัย คุณควรเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ และเข้าไปมีส่วนร่วมกับกิจกรรมต่างๆ อย่างเต็มที่ อย่าเพิ่งคิดไปก่อนล่วงหน้าว่ามันคงไม่สนุกหรอก และอย่าเพิ่งเชื่อคำแนะนำของคนอื่นจนกว่าจะได้ลองด้วยตัวเอง เมื่อเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ แล้ว คุณจะค่อยๆ ค้นพบเองว่าอะไรที่เหมาะกับตัวเอง จากนั้นจึงค่อยพัฒนาตัวเองให้จริงจังกับกิจกรรมนั้นยิ่งขึ้นเพื่อเสริมทักษะให้เชี่ยวชาญ
จงวางแผนการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ และที่สำคัญอย่าลืมตัดงบเผื่อไว้สำหรับการท่องเที่ยว ปาร์ตี้ และเข้าสังคมกับเพื่อนๆ ด้วย ถ้างบประมาณของคุณมีจำกัดจริงๆ ลองหาช่องทางทำงานพิเศษเพิ่มอีกสักหน่อย อาจจะเหนื่อยเพิ่มขึ้นแต่รับประกันว่าคุ้มแน่นอน ลองคิดดูสิว่ามันจะเซ็งแค่ไหน ถ้าคุณต้องนอนแกร่วอยู่ที่ห้องคนเดียวขณะที่เพื่อนแฮงค์เอาท์กันอย่างสุดเหวี่ยงช่วงเทศกาล
10. มาใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คกันเถอะ
บางคนอาจจะใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คจำพวก Facebook, Twitter, Instagram ฯลฯ กันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ก็มีหนุ่มสาวอินดี้จำนวนไม่น้อยที่ปลีกตัวจากสังคม และไม่ค่อยเห็นความสำคัญของเทคโนโลยีพวกนี้เท่าไหร่ จนอาจจะทำให้พลาดข่าวสารที่สำคัญบางอย่างไป เพราะเดี๋ยวนี้หลายๆ มหาวิทยาลัยก็นิยมใช้ Facebook เป็นช่องทางหนึ่งในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร หรือแม้แต่การทำงานกลุ่มเอง ทุกวันนี้นักศึกษาจำนวนไม่น้อยก็นิยมตั้งกรุ๊ปใน Facebook ไว้ติดต่อสื่อสารเรื่องงานกัน ดังนั้นคุณจึงควรหัดใช้เอาไว้บ้าง อย่างน้อยๆ ในแต่ละวันก็ควรหาช่วงเวลาสั้นๆ เข้าไปติดตามบ้างว่ามีเรื่องอะไรอัพเดทบ้าง