
ตอนแรกก็ว่าสถานการณ์กำลังจะดีขึ้นแล้วเชียว แต่อยู่ ๆ โควิดสายพันธุ์ Omicron ก็หวดหมัดใส่พวกเราเข้าอีกเต็ม ๆ มีความรู้สึกว่าเหมือนทุกอย่างวนลูปกลับไปที่เดิมเมื่อปีที่แล้วเลย แต่อย่าเพิ่งแตกตื่นกันไปค่ะ เพราะรอบนี้เราเริ่มมีวัคซีนกันแล้ว และในอนาคตก็อาจจะมีวัคซีนที่ป้องกัน Omicron หรือสายพันธุ์อื่น ๆ ได้ แต่ระหว่างนี้ต้องคอยระวัง การ์ดอย่าตก กันนะคะ
วันนี้เราเลยขออัพเดทสถานการณ์โควิดและรายละเอียดของสายพันธุ์ Omicron มาให้ฟังกันค่ะ (ข้อมูลอัพเดทวันที่ 16 ธันวาคม 2564)
Omicron แพร่กระจายได้เร็วแค่ไหน ร้ายแรงแค่ไหน
คำตอบคือ เร็วมากค่ะ แต่ร้ายแรงน้อยกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ และมีผลวิจัยว่าอาการไม่หนักเท่าด้วย
ผลการวิจัยล่าสุดจาก University of Hong Kong ระบุว่าโควิดสายพันธุ์ Omicron สามารถแพร่กระจายได้เร็วกว่าโควิดสายพันธุ์อื่น ๆ ถึง 70 เท่า แต่ในด้านของความรุนแรงของอาการหลังติดเชื้อนั้น เรียกว่าค่อนข้างต่ำว่าโควิดสายพันธุ์เก่า ๆ อยู่มากค่ะ แปลว่าถ้าติดแล้ว อาการจะไม่หนักเหมือนคนติดโควิดสายพันธุ์แรก ๆ นั่นเอง (อาการส่วนใหญ่คือไม่หนักมากและไม่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลค่ะ)
ฟังดูเหมือนไม่ค่อยรุนแรง แล้วทำไมเรายังต้องระวังตัวกันอีก
ถึงจะบอกว่าสายพันธุ์นี้ไม่รุนแรงเท่าอันอื่น ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะชิลล์ ๆ ไม่ใส่มา่สก์ ไม่ล้างมือ ไม่ได้นะคะ เพราะการที่มีคนติดมากขึ้น ก็ทำให้เชื้อมีโอกาสกลายพันธุ์สูงขึ้น อาจทำให้มีสายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่รุนแรงกว่าเพิ่มขึ้นมาอีก และโรงพยาบาลก็จะเต็ม หมอ และบุคลากรทางการแพทย์ก็จะรับมือไม่ไหวเอา ดังนั้นเราต้องระวังตัวเหมือนเดิมค่ะ
เข็ม 3 booster ฉีดอะไรดี?
เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงได้อ่านข้อมูลตามสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับวัคซีนที่เราสามารถฉีดได้ไปแล้ว วันนี้เราเอาข่าวมาเพิ่มให้ละเอียดขึ้นอีกนิดค่ะ
เมื่อเร็ว ๆ นี้ University Hospital Southampton ได้ออกมาพูดถึงงานวิจัยที่ชื่อ COV-BOOST ซึ่เป็นการวิจัยทดลองประสิทธิภาพและความปลอดภัยของเข็ม 3 (จากวัคซีน 7 ยี่ห้อ) โดยเป็นการทดลองกับคนที่ได้รับวัคซีนมาแล้วจำนวน 3,000 กว่าคน เค้าค้นพบว่าวัคซีนที่นำมาทดลองทั้งหมดปลอดภัย ใช้ได้ โดยวัคซีนชนิด mRNA (ไฟเซอร์และโมเดอร์นา) มีประสิทธิภาพในการเพิ่มภูมิคุ้มกันได้สูงที่สุดค่ะ และการใช้แบบไขว้สูตรก็ได้ผลดี ผลวิจัยตัวนี้มีส่วนช่วยให้รัฐบาลตัดสินใจประกาศให้คนมารับวัคซีนเข็ม 3 หรือ booster ได้โดยไม่ต้องรอนานถึง 6 เดือนค่ะ
ข่าววัคซีนต่าง ๆ เป็นยังไงบ้าง? มีวัคซีนใหม่มารึยัง?
ณ ตอนนี้บริษัทยาและองค์กรต่าง ๆ ต่างก็พากันเตรียมตัวรับมือกับโควิดสายพันธุ์ใหม่นี้ค่ะ โดยการทดลองวัคซีนยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และเมื่อไม่นานมานี้ ทางอังกฤษก็เตรียมนำยา antiviral มาใช้กับคนกลุ่มเสี่ยง ซึ่งยาตัวนี้มีประสิทธิภาพในการช่วยบรรเทาความรุนแรงของโรคในกรณีที่ได้รับเชื้อค่ะ
ที่น่าสนใจมากอีกอย่างคือการทดลองล่าสุดจาก University of Cambridge ที่เพิ่งเริ่มการทดลองนวัตกรรมใหม่ล่าสุด คือการใช้เครื่องมือปั๊มวัคซีนผ่านผิวหนัง (ไม่ต้องใช้เข็มฉีดยา) และตัววัคซีนนี้ได้ถูกออกแบบมาให้สู้กับเชื้อโควิดได้ทุกสายพันธุ์เลยค่ะ ถึงแม้การทดลองจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ก็หวังว่าในอีกไม่นานเราจะได้มีข่าวดีให้ได้ยินกันเนอะ
เครดิท
https://www.independent.co.uk/news/health/omicron-infects-faster-less-severe-study-b1976761.html
https://www.bbc.co.uk/news/uk-england-59642182
---------------------------------------------------------------------------------
(ข้อมูลข้างล่างอัพเดทวันที่ 24 พ.ย 2563)
หนึ่งในหลายๆข่าวที่คนทั่วโลกกำลังติดตามกันในตอนนี้ ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องการหาวิธีรักษา ยา หรือแม้กระทั่งการผลิตวัคซีนเพื่อป้องกันเจ้าโควิด-19 ที่เล่นงานคนทั่วโลกกันมาเกือบครึ่งปี! มาค่ะ วันนี้ Hotcourses Thailand ขอหยิบข่าวมาอัพเดทให้เพื่อนๆฟังกัน ว่าตอนนี้การผลิตวัคซีนไปถึงไหนกันบ้าง เรามีความหวังมากน้อยยังไง ไปติดตามกันเลยค่า
วัคซีนจากมหาวิทยาลัย Oxford ประเทศอังกฤษ
มาเริ่มกันที่ประเทศอังกฤษกันค่ะ ที่ตอนนี้กำลังเป็นข่าวครึกโครมกันใหญ่ ว่าด้วยเรื่องของการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ตอนนี้ทางมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง University of Oxford เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการผลิต โดยวัคซีนชื่อยาวอย่าง ChAdOx1 nCoV-19 ได้มีผลออกมาในขั้นต้นว่าปลอดภัย และช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายของคนเราได้ โดยผลที่ออกมานี้ เป็นผลจากการทดลองในกลุ่มทดลอง 1,077 คน จากในเฟสแรกค่ะ
สำหรับเฟสที่ 2 ก็มีการเริ่มต้นกันไปแล้วค่ะ งานนี้นำทีมโดยศาสตราจารย์ Professor Saul Faust จาก University Hospital Southampton ที่ได้นำวัคซีนไปทดลองกับอาสาสามัครกว่า 10,000 คนจากทั่วประเทศอังกฤษ ซึ่งทางประเทศอังกฤษเองก็ได้ยืนยันว่ามีการสั่งผลิตวัคซีนไปแล้วกว่า 100 ล้านยูนิต เพื่อเตรียมนำมาใช้ หากได้ผลเป็นที่น่าพอใจค่ะ
เค้าทดลองกันยังไง และผลเป็นยังไงบ้าง?
จากการทดลองในเฟสแรกนี้ กลุ่มอาสาสมัครที่เข้าร่วมโครงการคือคนที่มีอายุระหว่าง 18-55 ปี ที่ไม่เคยติดโควิด-19 มาก่อนค่ะ โดยการทดลองวัคซีนครั้งนี้ จะแบ่งกลุ่มอาสาสมัครเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่มที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในขณะที่กลุ่มนึง จะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (meningitis) เพื่อนำผลมาเปรียบเทียบกันค่ะ ที่สำคัญคือ ขั้นตอนการฉีดวัคซีนนี้ ทั้งหมอและพยาบาลเอง ก็จะไม่รู้มาก่อนว่าใครได้วัคซีนตัวไหน และทางทีมเก็บข้อมูล ก็จะเข้ามาเก็บข้อมูลแยกต่างหาก ทั้งนี้ ก็เพื่อทำให้ผลออกมาเป็นกลางมากที่สุดค่ะ
จากนั้น จะมีอาสาสมัครจำนวน 10 คน ที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 รอบที่สอง เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน หลังจากการฉีดรอบแรก 28 วันค่ะ
โดยผลที่ออกมา ทางนักวิจัยพบว่าใน 91% ของกลุ่มอาสาสมัคร ได้มีการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายของตัวเองหลังจากฉีดวัคซีนไปแล้ว และในกลุ่มที่ได้รับการฉีดวัคซีนรอบที่สอง ก็เห็นได้ชัดว่ามีภูมิคุ้มกันที่สูงขึ้นไปอีกค่ะ
วัคซีนตัวนี้มีหลักการในการทำงานยังไง?
เจ้า ChAdOx1 nCoV-19 ตัวนี้ เริ่มผลิตมาจากไวรัสไข้หวัดตัวหนึ่งที่ชื่อ adenovirus ซึ่งเป็นไวรัสที่เกิดขึ้นกับลิงชิมแปนซี ร่วมกันกับยีนส์ที่สร้างโปรตีนจากโควิด-19 ที่มีชื่อว่า SARS-CoV-2 รวมเข้าด้วยกันค่ะ โดยเมื่อนำมารวมกัน และพัฒนาขึ้นมาเข้าสู่ร่างกาย ก็ทำให้ร่างกายตอบโต้ในลักษณะเดียวกันกับโควิด-19 เราจึงเห็นผลได้ค่อนข้างชัดเจนค่ะ
แล้วขั้นตอนต่อไปหลังจากนี้ล่ะ?
ถึงแม้ตอนนี้เราจะเริ่มเห็นผลว่าร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าวัคซีนตัวนี้จะป้องกันไม่ให้คนไม่ป่วยหรือไม่ติดต่อกับคนอื่นค่ะ ดังนั้น การทดลองก็ยังดำเนินต่อไป และเข้าสู่เฟสที่ 2 กันไปเมื่อเร็วๆนี้นี่เอง
สำหรับเฟสที่ 2 ทางมหาวิทยาลัยก็มีการตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะทดลองกับอาสาสมัครกว่า 10,000 คน พร้อมกับกลุ่มคนผู้สูงอายุ ที่ได้รับผลกระทบมากเป็นพิเศษ โดยในรอบนี้ ได้มีการคัดเลือกผู้สูงอายุที่มีอายุกว่า 70 ปีขึ้นไป จำนวน 240 คน มาเข้าร่วมโปรแกรมนี้ค่ะ ที่น่าสนใจคือ ตอนนี้ทางโครงการก็ได้ขยายออกไปเพื่อหาผู้ติดเชื้อและอาสาสมัครมาร่วมโครงการจากประเทศจากอเมริกา, แอฟริกาใต้ และบราซิลด้วยนะคะ เรียกได้ว่าทำการทดลองแบบเต็มสตรีมกันเลยทีเดียวค่า
ตัวยาน่าสนใจจาก Southampton ประเทศอังกฤษ
อีกหนึ่งข่าวที่น่าสนใจจากฝั่งอังกฤษ ก็คือตัวยาพ่นแบบใหม่ ที่เป็นผลจากการร่วมมือของทีมนักวิจัยจากเมือง Southampton และบริษัท Synairgen ซึ่งจากการทดลองขั้นต้น ก็พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับยาตัวนี้ มีแนวโน้มที่จะหายได้เร็วขึ้นและหากมีอาการป่วย ก็จะไม่ถึงขั้นอันตรายค่ะ
โดยเจ้ายา SNG001 ตัวนี้ ลดอัตราผู้ป่วยที่ต้องเข้าโรงพยาบาลจากอาการป่วยรุนแรงได้กว่า 79% เมื่อเทียบกับการรักษาแบบอื่นค่ะ ตัวเลขตรงนี้ เป็นผลมาจากการทดลองรอบแรกกับผู้ป่วย 101 คน จากโรงพยาบาล 9 แห่งในประเทศอังกฤษ ซึ่งผู้ป่วยที่ได้รับยาตัวนี้ มีการหายใจได้ดีขึ้น และมีแนวโน้มที่จะหายกว่า 50% กันเลยล่ะค่ะ
ทางทีมงานมหาวิทยาลัย Southampton เอง ก็ค่อนข้างเชื่อมั่นในตัวยาชนิดนี้ ว่าเป็นการรักษาที่ได้ผลค่อนข้างดี และช่วยฟื้นฟูสภาพปอดและภูมิคุ้มกัน และเร่งการฟื้นตัวของสุขภาพผู้ป่วยได้เป็นอย่างดีค่ะ ซึ่งสำหรับเฟสต่อไป ก็คือทางทีมงานจะเตรียมทำการทดลองกับอาสาสมัครจากในโรงพยาบาลทั่วประเทศ และจะขยายไปทดลองกับกลุ่มผู้ป่วยที่อยู่ที่บ้านด้วยค่ะ
วัคซีนของพี่จีน
มาที่ฝั่งเอเชียกันบ้างค่ะ ข่าวใหญ่ครั้งนี้มาจากประเทศจีน ที่ทาง China National Pharmaceutical Group (SinoPharm) ได้ออกข่าวมาอย่างเป็นทางการว่า วัคซีนโควิด-19 อาจจะพร้อมใช้ภายในปลายปี 2020 นี้ค่ะ ซึ่งทางตัวแทนของกลุ่มบริษัทก็ได้ยืนยันค่ะว่าการทดลองขั้นต้นผ่านไปเรียบร้อยแล้ว และตอนนี้ก็กำลังเตรียมที่จะนำวัคซีนเข้าสู่ตลาดก่อนสิ้นปี ซึ่งนับว่าเร็วกว่าที่กำหนดไว้มากเลยค่ะ
โดยทาง SinoPharm วัคซีนตัวนี้ เป็นผลจากการร่วมมือกันของ Beijing Institute of Biological Products และ Wuhan Institute of Biological Products และทางบริษัทได้ทำการทดลองเฟส1 และ 2 ไปแล้วในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ผลที่ออกมาก็นับว่าได้ผลดีและไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรงค่ะ สำหรับขั้นตอนต่อไป ทาง SinoPharm ก็จะเริ่มเข้าสู่เฟส 3 เพื่อจะนำวัคซีนไปใช้ในทางการแพทย์ และคาดว่าจะแล้วเสร็จในอีก 3 เดือนข้างหน้าค่ะ
ที่น่าสนใจก็คือ ทางองค์การอนามัยโลก World Health Orgnization ออกมาบอกว่านักวิจัยได้พัฒนาวัคซีนตัวนี้และเห็นความก้าวหน้าอย่างชัดเจนก็จริง แต่วัคซีนน่าจะเริ่มใช้ได้ครั้งแรกในต้นปี 2021 ค่ะ
เอาล่ะค่ะ ไม่ว่าวัคซีนจะสำเร็จในปีนี้หรือปีหน้า หรือปีต่อๆไป แต่อย่างน้อยๆ ตอนนี้เราก็เริ่มเห็นความหวังกันบ้างแล้วนะคะ ทาง Hotcourses Thailand เองก็ขอให้เพื่อนๆทุกคนมีสุขภาพที่ดี และปลอดภัยจากโควิด-19 นะคะ
Credit: https://www.aa.com.tr/en/asia-pacific/china-covid-19-vaccine-could-be-ready-by-year-end/1919461