
ในขณะที่ประเทศไทยและบางประเทศเริ่มกลับมาใช้ชีวิตแบบ (เกือบจะ) ปกติกันแล้ว หลายๆ ประเทศโดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกาก็ยังต้องเผชิญหน้ากับการกลับมาของโควิดรอบสอง อย่างอังกฤษเองนี่ก็โดนล็อคดาวน์กันไปอีกรอบ ทำให้หลายๆ คนเริ่มซึมกัน ยิ่งใกล้คริสต์มาสด้วยก็ยิ่งอยากให้โควิดพ้นไปเร็วๆ ซักที เฮ้ออ ถอนหายใจกันไป
แต่ต้องบอกว่าเพราะข่าววัคซีนโควิดที่ทยอยออกมากันเรื่อยๆ ในช่วงนี้ ทำให้ชาวอังกฤษ(และทั่วโลก) เริ่มเห็นความหวังว่าจะได้กลับมาใช้ชีวิตแบบปกติอีกครั้ง อย่างที่อังกฤษนี่นาย Matt Hancock เลขาธิการกระทรวงสาธารณสุขก็คาดการณ์ไว้ว่า ประเทศอังกฤษน่าจะกลับมาเป็นปกติหลังอีสเตอร์ปีหน้าเลยค่ะ
แล้วมันเป็นไปได้จริงหรือ? กลับมาเป็นเหมือนเดิม นี่คือยังไง?
ต้องอธิบายก่อนว่า ตอนนี้ประเทศอังกฤษอยู่ในช่วงล็อคดาวน์รอบสอง ซึ่งจะสิ้นสุดวันที่ 2 ธ.ค. 2563 นี้ แต่เมื่อล็อคดาวน์หมดลงแล้ว ทั้งประเทศจะกลับมาอยู่ในระบบ tier system เหมือนเดิม ซึ่งระบบนี้จะมีการกำหนด tier หรือระดับ (medium, high, very high risk) ให้กับแต่ละเมือง เมืองไหนมีผู้ติดเชื้อสูง ความเสี่ยงสูง ก็จะมีข้อจำกัดเยอะหน่อย เช่น ห้ามเจอครอบครัวอื่น ร้านค้าไม่จำเป็นต้องปิด ในขณะที่เมืองที่มีความเสี่ยงต่ำก็อาจจะมีการให้ร้านค้าเปิดให้บริการได้ เจอครอบครัวอื่นได้ 1 คนเป็นต้น
การจะยกเลิกระบบต่างๆ นี้ ก็จะทำได้ต่อเมื่อยอดผู้ติดเชื้อต่ำลง หรือมีวัคซีนที่ใช้ได้จริงออกมาค่ะ
ดังนั้น คำตอบของคำถามข้างบนว่าเป็นไปได้จริงหรือ ขอตอบว่า จริงค่ะ เย้ๆๆๆ (จุดพลุ) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นกับผลทดลองวัคซีน การผลิตวัคซีน และอื่นๆ ด้วยค่ะ
เทียบช็อตต่อช็อต - 3 วัคซีนสู้โควิด อันไหนดี อันไหนเด่นกว่ากัน
ตอนนี้เริ่มมีข่าวดีให้เห็นกันเรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องของวัคซีนที่ข่าวกำลังออกมารัวๆ โดย ณ วันนี้ (24 พ.ย. 2563) มีวัคซีนที่ใช้ได้ผลออกมาแล้วถึง 3 ตัวด้วยกัน คือ
-
วัคซีนจาก Pfizer (อเมริกา) เป็นวัคซีนแรกที่ออกข่าวว่าป้องกันโควิดได้ 90%
-
วัคซีนจาก Moderna (อเมริกา) ตามมาติดๆ และออกข่าวว่ามีประสิทธิภาพสูงถึง 94.5% (ยังอยู่ในระหว่างการทดลอง ตัวเลขอ่านเปลี่ยนได้)
-
วัคซีนจาก Oxford University และ AstraZeneca (อังกฤษ) ที่บอกว่าวัคซีนได้ผลถึง 90% เมื่อได้รับโดสที่เหมาะสม
แล้วแต่ละตัวต่างกันยังไงบ้าง มาดูกันค่ะ
Pfizer |
Moderna |
Oxford vaccine |
|
วิธีการทำงานของวัคซีน |
ใช้เทคโนโลยี mRNA ผลิตชิ้นส่วนพันธุกรรมของเชื้อไวรัสและฉีดเข้าไปในร่างกาย กระตุ่้นภูมิคุ้มกันให้สู้กับเชื้อได้ |
ใช้เทคโนโลยี mRNA ผลิตชิ้นส่วนพันธุกรรมของเชื้อไวรัสและฉีดเข้าไปในร่างกาย กระตุ่้นภูมิคุ้มกันให้สู้กับเชื้อได้ |
แบบดั้งเดิม คือเป็นการฉีดโปรตีนของไวรัสเข้าไป เมื่อให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาเอง และเมื่อมีไวรัสเข้ามาจริงๆ ร่างกายก็จะสู้ไหว |
ประสิทธิภาพ |
95% |
94.5% (ยังอยู่ในระหว่างการทดลอง ตัวเลขอ่านเปลี่ยนได้) |
90% (เมื่อฉีดครึ่งโดส แล้วตามด้วยเต็มโดสทีหลัง) |
การเก็บรักษาและการขนส่ง |
ต้องเก็บในอุณหภูมิ -70 องศาและต้องผสมสารอื่นก่อนใช้งาน
ขนส่งค่อนข้างยุ่งยาก |
เก็บในตู้เย็นปกติได้ประมาณ 30 วัน และในอุณหภูมิห้อง (ที่ไม่ใช่ในประเทศไทย - ร้อนไปจ้ะ) 12 ชม. หรือเก็บในช่องฟรีสได้ถึง 6 เดือน
ขนส่งได้ง่ายกว่า Pfizer |
เก็บได้ในตู้เย็นปกติที่อุณหภูมิ 2-8 องศา ห่างจากแสง
ขนส่งได้ง่ายที่สุด |
ราคา |
£15 (ประมาณ 600 บาท) ต่อโดส |
£28 (ประมาณ 1,130 บาท) ต่อโดส |
£3 (ประมาณ 120 บาท) ต่อโดส |
แล้วคนที่อยู่ในอังกฤษจะได้ใช้เมื่อไหร่ล่ะ?
ตอนนี้รัฐบาลอังกฤษสั่งซื้อวัคซีนจาก Pfizer มาแล้ว 40 ล้านโดส ซึ่งมากพอที่จะฉีดให้กับประชากรราวๆ 20 ล้านคนค่ะ ตอนนี้มีการคาดการณ์กันว่า 10 ล้านโดสแรกน่าจะมาถึงก่อนสิ้นปี 2563 นี้ และกลุ่มเสี่ยง (เช่น ผู้สูงอายุ) จะได้รับวัคซีนก่อน โดยได้รับ 2 โดสด้วยกัน ฉีดห่างกัน 21 วันค่ะ
นอกจากนี้รัฐบาลยังสั่งซื้อวัคซีนจาก Moderna มาอีก 5 ล้านโดส ซึ่งน่าจะมาถึงช่วงประมาณฤดูใบไม้ผลิ (ราวๆ มีนาคม) ปีหน้า
และล็อตใหญ่ที่สุดที่รัฐบาลสั่งซื้อก็คือวัคซีนจาก Oxford ที่สั่งมา 100 ล้านโดสเลยค่ะ เมื่อตัวยาผ่านการอนุมัติจากกรมควบคุมยาแล้ว ก็จะสามารถจะเริ่มใช้ได้ปลายปีนี้เลย (สำหรับผู้มีความเสี่ยงสูง) และสามารถขยายการฉีดวัคซีนให้กับทุกคนได้ราวๆ ต้นปี 2564 เลยค่ะ
ที่น่าดีใจอีกเรื่องคือ บริษัทยา AstraZeneca ที่ร่วมผลิตวัคซีนกับ Oxford เค้าออกมาบอกเลยค่ะว่าเค้าจะไม่ขายวัคซีนเพื่อกำไรใดๆ แต่จะมุ่งมั่นผลิตวัคซีนเพื่อให้ทุกประเทศ ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ จนโควิดหมดไปค่ะ
นับเป็นข่าวดีมากๆ รับสิ้นปีอีกข่าวของพวกเราและชาวโลกทุกคนเลยนะคะ อดทนอีกนิด แล้วพวกเราก็จะได้ชีวิตเหมือนเดิมกลับมาค่ะ แต่ระหว่างนี้ก็อย่าลืมสวมหน้ากาก ล้างมือ และดูแลตัวเองกันด้วยนะคะ
Credit: news.sky.com, mirror.co.uk