สาขาวิชาการเสริมความงาม จะเน้นเรียนภาคปฏิบัติ เกี่ยวกับการเสริมความงามให้กับส่วนต่างๆ ของร่างกายมนุษย์ แม้ไม่มีการออกเป็นกฎระเบียบข้อบังคับอย่างเคร่งครัดว่า พนักงานที่ทำงานในสถานเสริมความงามจะต้องจบการศึกษาหลักสูตรการเสริมความงามโดยตรง แต่หากสนใจทำงานด้านนี้อย่างจริงจัง คุณก็ควรลงเรียนคอร์สการเสริมความงามแบบเฉพาะทาง จะได้มีความเชี่ยวชาญด้านนี้อย่างแท้จริงและมีความน่าเชื่อถือ
ซึ่งการเรียนการสอนในคอร์สเสริมความงาม จะมีหลายสาขาวิชาให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นการนวดบำบัด การทำเล็บมือเล็บเท้า ไปจนถึงการแต่งหน้าและการทำทรีตเมนท์หน้า
ผู้มาจากประเทศที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก จะต้องสอบ IELTS ได้อย่างน้อย 6.0-6.5 คะแนนขึ้นไปก่อนเริ่มคอร์ส เพื่อแสดงให้เห็นว่าภาษาอังกฤษจะไม่เป็นอุปสรรคในการติดตามเนื้อหารายวิชาของคุณ
หลักสูตรปริญญาตรีส่วนใหญ่จะใช้เวลาเรียนอย่างน้อย 3 ปี โดยสถาบันการศึกษาแต่ละแห่ง จะมีลักษณะรายวิชาที่ค่อนข้างแตกต่างกัน และมีหลักสูตรให้เลือกหลากหลายมาก ผู้เรียนจะได้เรียนทั้งความรู้ทางทฤษฎีผ่านการแลคเชอร์และการสัมมนากลุ่มย่อย ควบคู่ไปกับการเวิร์คช็อปฝึกปฏิบัติ ในการรับสมัครนั้น หากผู้สมัครควรมีผลการเรียนระดับ 3 A-levels ขึ้นไป หรือเทียบเท่าในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง
ส่วนในระดับปริญญาโท จะใช้เวลาเรียนอย่างน้อย 1 ปี ระยะเวลาเรียนจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่าคุณเลือกคอร์สเต็มเวลาหรือนอกเวลา ซึ่งผู้สมัครควรจะมีประสบการณ์ทำงานในด้านที่เกี่ยวข้องมาก่อน และนอกจากนี้ยังมีหลักสูตรระยะสั้นให้เลือกเรียนอีกมากมาย
หนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดที่ควรพิจารณาคือเรื่องสถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัย หลักสูตรส่วนใหญ่จะใช้เวลาเรียนไม่ต่ำกว่า 1 ปี คุณจึงควรเลือกเมืองให้เหมาะกับสมกับบุคลิกของตัวเอง เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนั้นได้อย่างมีความสุข หากคุณชื่นชอบการพบปะผู้คนใหม่ๆ และมองหาประสบการณ์ที่หลากหลาย การเรียนในเมืองใหญ่ที่คึกคักมีสีสัน ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคุณ
นอกจากเรื่องความสุขในการใช้ชีวิตแล้ว สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามก็คือ ประสบการณ์ฝึกงานด้านการเสริมความงามในระหว่างเรียน ซึ่งคุณจะสามารถหาที่ฝึกงานได้ง่ายขึ้น หากเลือกเรียนเมืองที่อุตสาหกรรมการเสริมความงามมีความเจริญรุ่งเรือง มหาวิทยาลัยแต่แห่งจะมีคอนเนคชั่นกับองค์กรด้านสุขภาพและความงามที่แตกต่างกันออกไป คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบ และเลือกหลักสูตรให้ตรงกับความสนใจและแนวทางประกอบอาชีพที่ต้องการมากที่สุด
อย่าลืมพิจารณาเงื่อนไขการรับเข้าศึกษาและค่าใช้จ่ายในการศึกษา ก่อนยื่นใบสมัครไปยังมหาวิทยาลัยที่ต้องการ ลองเช็คดูว่าผลการเรียนของคุณผ่านเกณฑ์ที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนดไว้หรือไม่ ค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่าที่พักและค่าครองชีพ อยู่ในระดับที่คุณสามารถรับผิดชอบได้หรือไม่ หากไม่ได้มีความพร้อมด้านการเงินมากนัก ก็ควรมองหาสถาบันที่มีทุนสนับสนุนแก่นักศึกษาขาดแคลนไว้เป็นทางเลือกหนึ่งด้วย