การจัดเลี้ยง คือ อุตสาหกรรมที่มีโอกาสทางหน้าที่การงานรออยู่เสมอ สำหรับบัณฑิตจบใหม่ที่มีศักยภาพ และธุรกิจนี้ก็ยังสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ตราบใดที่จำนวนประชากรโลกยังคงเพิ่มขึ้นทุกปี ความต้องการอาหารก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย และธุรกิจรับจัดเลี้ยงก็มีแนวโน้มจะเติบโตไปด้วยเช่นกัน ทุกวันนี้ผู้คนตระหนักและให้ความสำคัญเกี่ยวกับการเลือกกินอาหารมากขึ้น โดยเฉพาะปัญหาโรคอ้วนที่หลายคนกังวลกันมากเป็นพิเศษ ผู้ทำธุรกิจรับจัดเลี้ยงในปัจจุบัน จึงควรทำความเข้าใจความต้องการของผู้บริโภค และตอบสนองความต้องการนั้นให้ตรงจุด เพื่อดึงดูดใจลูกค้าและสร้างจุดขายของตัวเอง
ศิษย์เก่าสาขาวิชาการจัดเลี้ยงส่วนใหญ่มักทำงานในอุตสาหกรรมอาหารและโรงพยาบาล ซึ่งสามารถเลือกอาชีพได้หลายหลายพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการแผนกจัดเลี้ยง ผู้จัดการร้านอาหาร หรือฝ่ายจัดซื้อวัตถุดิบให้กับโรงแรมและร้านอาหาร
บัณฑิตบางคนเลือกเรียนต่อเพื่อประกอบอาชีพที่เฉพาะทางมากยิ่งขึ้น โดยคอร์สที่ได้รับความนิยมก็ได้แก่ Postgraduate Certificate in Education (PGCE) ซึ่งเมื่อเรียนจบแล้ว จะสามารถทำงานเป็นครูสอนวิชาการทำอาหารและการจัดเลี้ยงได้ นอกจากนี้ยังมีบัณฑิตจำนวนไม่น้อยที่เรียนต่อคอร์สสำหรับทำงานเป็นนักโภชนาการโดยเฉพาะ
สำหรับผู้ที่ต้องการทำงานที่ได้ค่าตอบแทนแบบวันต่อวัน ก็ยังสามารถทำงานเป็นพนักงานฝึกหัดในห้องครัว หรือเชฟหากมีความสามารถและประสบการณ์มากพอ และถ้าคุณมีวุฒิการศึกษาด้านอื่นประกอบด้วย หรือมีประสบการณ์สูงทางด้านอาหาร คุณยังสามารถทำงานในแผนกพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร ทำหน้าที่วิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลทางโภชนาการให้กับอุตสาหกรรมผลิตอาหารขนาดใหญ่ได้อีกด้วย
หลักสูตรปริญญาตรีด้านการจัดเลี้ยงส่วนใหญ่จะใช้เวลาเรียนประมาณ 3 ปี แต่ส่วนใหญ่แล้วจะขยายเวลาเรียนเพิ่มขึ้นอีก 1 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ไปเรียนที่ต่างประเทศ หรือฝึกปฏิบัติงานในสภาพแวดล้อมการทำงานจริง ระหว่างปีที่ 2 และ 3 ของหลักสูตร ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากในการหาประสบการณ์ด้านการจัดเลี้ยง
แต่ละมหาวิทยาลัยจะกำหนดเงื่อนไขในการรับเข้าศึกษาแตกต่างกันออกไป แต่ส่วนใหญ่ในระดับปริญญาตรี ผู้สมัครจะต้องมีผลการเรียนระดับ 3 A-levels ขึ้นไป หรือเทียบเท่าหากมาจากประเทศที่ใช้ระบบการศึกษาต่างจากประเทศอังกฤษ และหากมีพื้นฐานในวิชาวิทยาศาสตร์หรือวิชาธุรกิจมาก่อนบ้าง ก็จะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสนใจที่คุณมีต่อสาขาวิชานี้ และทำให้ใบสมัครของคุณดูน่าสนใจยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรปริญญาโทอีกเป็นจำนวนมากที่สอนวิชาการจัดเลี้ยง ไม่ว่าคุณจะต้องการเชี่ยวชาญด้านการจัดการธุรกิจอาหาร หรืออยากเชี่ยวชาญเป็นพิเศษด้านการทำอาหาร คอร์สส่วนใหญ่ก็จะกำหนดเกณฑ์ไว้เหมือนๆ กันว่า ในระดับปริญญาโทผู้สมัครจะต้องมีผลการเรียนระดับ 2:1 ขึ้นไป
สำหรับผู้มาจากประเทศที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก จะต้องสอบ IELTS ได้อย่างน้อย 6.0 คะแนนขึ้นไป เพื่อแสดงให้เห็นว่าภาษาอังกฤษจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการติดตามเนื้อหารายวิชาของคุณ
คอร์สของสถาบันการศึกษาแต่ละแห่งจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยนั้นๆ และหลักสูตรที่คุณเลือก บางหลักสูตรผู้เรียนอาจจะได้เรียนทฤษฎี เพื่อนำไปเสริมความรู้จากการเรียนภาคปฏิบัติ และอาจมีการทำแบบทดสอบประเมินผลภาคทฤษฎีด้วย
ก่อนยื่นใบสมัครไปยังมหาวิทยาลัย ควรพิจารณาเนื้อหาหลักสูตรให้ดีว่าตรงกับความสนใจของคุณหรือไม่ เนื้อหาทฤษฎีเรื่องการบริหารจัดการธุรกิจจัดเลี้ยงของแต่ละหลักสูตรส่วนใหญ่จะมีความใกล้เคียงกัน แต่ประเภทของอาหารที่สามาถนำมาใช้ในการจัดเลี้ยง จะแยกย่อยออกไปหลายแขนง และมีให้เลือกเรียนเป็นจำนวนมาก ลองพิจารณาดูว่าคุณสนใจการทำอาหารประเภทใดเป็นพิเศษ และหลักสูตรนั้นมีเนื้อหาวิชาบังคับอะไรที่ต้องเรียนบ้าง
สิ่งสำคัญคือในระหว่างเรียนคุณควรพิจารณาไว้แต่เนิ่นๆ ถึงลักษณะงานที่คุณอยากจะทำเมื่อจบการศึกษา ผู้ว่าจ้างส่วนใหญ่มักมองหาบุคลากรที่มีทั้งวุฒิการศึกษา และมีประสบการณ์ในการปฏิบัติงานจริง หากคุณเลือกมหาวิทยาลัยที่มีความสัมพันธ์อันดีกับบริษัทชั้นนำในด้านการจัดเลี้ยงหรือการทำอาหาร ก็จะช่วยให้คุณมีโอกาสได้ฝึกงานกับหน่วยงานที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นประสบการณ์ที่ดี และเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการหางานในอนาคต นอกจากนี้สถาบันการศึกษาส่วนใหญ่ยังมักรับจัดอาหารให้กับงานอีเวนท์ต่างๆ เพื่อช่วยให้นักศึกษาได้มีโอกาสสร้างคอนเนคชั่น ไว้สำหรับใช้ประโยชน์ในชีวิตการทำงานหลังจบการศึกษา
อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาในการเลือกมหาวิทยาลัยคือ สภาพแวดล้อมของสถานศึกษา เพราะคุณจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเป็นเวลาอย่างน้อยถึง 3 ปี หากเป็นไปได้ควรหาโอกาสไปสำรวจสถานที่เรียน และบรรยากาศเมืองโดยรอบก่อนตัดสินใจ เพื่อความมั่นใจว่าคุณจะสามารถอยู่ที่นั่นได้อย่างมีความสุข
ค่าธรรมเนียมการศึกษาและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม คุณควรลองลิสต์ค่าใช้จ่ายทั้งหมดออกมา และประเมินสถานการณ์ว่าจะสามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้หรือไม่ หากมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ควรมองหามหาวิทยาลัยที่มีทุนสนับสนุนแก่นักศึกษาขาดแคลนเอาไว้เป็นทางเลือกหนึ่งด้วย