วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คือ การศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ในหัวข้อที่เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงของโลกและสิ่งแวดล้อม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเด็นสิ่งแวดล้อมได้กลายมาเป็นหัวข้อสำคัญ ที่เกิดการถกเถียงและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันในวงกว้าง ความกังวลเกี่ยวกับสภาวะโลกร้อน, ประเด็นเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน และปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรที่เกิดขึ้นทั่วโลก เป็นเรื่องสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อภาคสังคมและภาคอุตสาหกรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม จึงเป็นผู้มีบทบาทในการนำความรู้ด้านชั้นบรรยากาศโลก นิเวศวิทยา สิ่งแวดล้อม เคมี และธรณีวิทยา มาค้นคว้าวิจัย และหาทางออกให้กับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น
ทุกวันนี้สังคมเริ่มตระหนักในปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ดังนั้น ภาคธุรกิจจึงต้องระมัดระวังมากขึ้น ไม่ให้การผลิตสินค้าของบริษัทตนเองส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม บัณฑิตที่จบไปจึงสามารถทำงานให้กับบริษัทต่างๆ เพื่อเป็นที่ปรึกษาในการผลิตแบบรักษ์โลก เป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ หรือเขียนใบเสนอราคา เพื่อออกแบบโครงการการผลิตที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม หรือหากไม่ต้องการทำงานบริษัท ก็สามารถศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น หรือทำงานวิจัยในห้องปฏิบัติการได้
สำหรับผู้ที่ต้องการงานที่ท้าทาย ได้ออกเดินทาง ไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในออฟฟิศหรือห้องแล็ปเพียงอย่างเดียว ก็อาจจะเลือกทำงานเป็น นักวิจัยในโครงการอนุรักษ์ ที่มีโอกาสได้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสำรวจสิ่งแวดล้อมในแต่ละพื้นที่ หรือทำงานให้กับหน่วยงานรัฐบาล เช่น หน่วยงานอนุรักษ์ธรรมชาติ, สำนักสิ่งแวดล้อม, หน่วยงานบริการสาธารณสุขชุมชน และหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ
การเลือกมหาวิทยาลัย ต้องคำนึงถึงงานที่จะทำหลังจบการศึกษาด้วย ผู้เรียนควรเลือกมหาวิทยาลัยที่มีสายสัมพันธ์อันดี กับองค์กรที่มีแนวโน้มจะรับบัณฑิตสาขาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมเข้าทำงาน ต้องมองการณ์ไกลถึงอนาคต เพราะบริษัทหลายแห่งมักนำชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย มาเป็นองค์ประกอบหนึ่งในการพิจารณาผู้สมัครงานด้วย
การเรียนวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม จะต้องลงพื้นที่ทำวิจัยภาคสนาม ดังนั้น สภาพแวดล้อมของมหาวิทยาลัยที่เลือก ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม หัวข้อในการศึกษาสิ่งแวดล้อมของพื้นที่นั้นๆ จะขึ้นอยู่กับ การกำหนดของอาจารย์ผู้สอน และสภาพแวดล้อมในระแวกสถาบันการศึกษา คุณควรจะเลือกหลักสูตรที่ตรงกับความสนใจ และเป็นประโยชน์ต่อการทำงานในอนาคตมากที่สุด
นอกจากหลักสูตรการศึกษาแล้ว สภาพแวดล้อมที่เลือกยังส่งผลต่อประสบการณ์ชีวิต ที่คุณจะได้รับตลอดระยะเวลา 3 ปีอีกด้วย คุณควรเลือกสังคมที่เข้ากับบุคลิกของตัวเอง จะได้สามารถปรับตัวอย่างไม่ยากเย็นเกินไปนัก หากชอบความสนุกสนานคึกครื้น การกินดื่มเที่ยว ทำความรู้จักผู้คนใหม่ๆ มากหน้าหลายตา มหาวิทยาลัยใจกลางเมืองใหญ่ ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่ถ้าชอบอยู่อย่างสงบ พบปะผู้คนบ้างตามสมควร มหาวิทยาลัยเล็กๆ ในเมืองที่อบอุ่นเป็นกันเอง ก็อาจจะเหมาะกับคุณมากกว่า
เมื่อตัดสินใจจะสมัครที่ไหนแล้ว อย่าลืมตรวจสอบคุณสมบัติของตัวเองด้วยว่า ผ่านเกณฑ์ตามเงื่อนไขที่กำหนดหรือไม่ และยังต้องพิจารณาเรื่องค่าธรรมเนียมการศึกษาด้วย หากมีปัญหาด้านการเงิน ควรมองหาสถาบันการศึกษา ที่มีทุนสนับสนุนสำหรับนักศึกษาที่ขาดแคลน