เอ็ดมันด์ เบิร์ก (Edmund Burke) นักการเมืองและนักเขียนคนสำคัญของอังกฤษ เคยกล่าวถึงความสำคัญของการศึกษาประวัติศาสตร์ไว้ว่า “those who do not know history are destined to repeat it.” “ผู้ไม่รู้ประวัติศาสตร์มักจะกระทำซ้ำรอยเดิม” หมายความว่าการศึกษาเหตุการณ์ ทัศนคติ และความเชื่อต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เป็นรากฐานที่สำคัญมากต่อการพัฒนาสังคมปัจจุบัน การศึกษาประวัติศาสตร์ในระดับปริญญา จะสอนครอบคลุมหลายหัวข้อ ตั้งแต่อารายธรรมโบราณ เช่น อารยธรรมกรีก อารยธรรมอียิปต์ อารยธรรมโรมัน ไปจนถึงเหตุการณ์ที่ร่วมสมัยมากขึ้นอย่างสงครามโลก สงครามเย็น การเคลื่อนไหวของสตรีที่เรียกร้องให้เพศหญิงมีสิทธิออกเสียง (the Suffragette movement) และอิทธิพลของเหตุการณ์เหล่านั้นที่ส่งผลมาถึงสังคมปัจจุบัน
ทักษะการวิเคราะห์ที่ได้จากการเรียนคอร์สนี้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการทำงานได้หลากหลายมาก ศิษย์เก่าหลายคนนิยมเรียนต่อในระดับการศึกษาที่สูง หรือ เข้าร่วมการอบรมเฉพาะทาง เพื่อทำงานเป็นนักวารสารศาสตร์ ทำงานด้านการสอน และทำงานด้านกฎหมาย โดยเน้นทำงานในส่วนที่ได้ใช้ความรู้วิชาประวัติศาสตร์ อย่างเช่น เขียนบทความเชิงประวัติศาสตร์ หรือ เป็นครูสอนวิชาประวัติศาสตร์ เป็นต้น
นอกจากนี้บัณฑิตส่วนใหญ่ โดยเฉพาะผู้ที่มีประสบการณ์ทำงานนอกหลักสูตร ยังนิยมทำงานในแผนกประชาสัมพันธ์ แผนกทรัพยากรมนุษย์ แผนกการตลาด และแผนกการบริหารจัดการ อีกด้วย รายได้เฉลี่ยเริ่มต้นของผู้จบสาขาวิชาประวัติศาสตร์ในประเทศอังกฤษอยู่ที่ 19,909 ปอนด์ต่อปี (ประมาณ 945,000 บาท) ประวัติศาสตร์เป็นวิชาที่น่าสนใจและมีความยืดหยุ่นในการเลือกทำงานเป็นอย่างมาก ซึ่งรายได้ก็จะแตกต่างกันออกไปตามลักษณะงานที่เลือก
ในประเทศอังกฤษ ผู้สมัครสาขาวิชาประวัติศาสตร์ระดับปริญญาตรี จะต้องมีผลการเรียนระดับ 3 A-levels ขึ้นไป หรือเทียบเท่าสำหรับนักเรียนจากประเทศที่ใช้ระบบการศึกษาต่างจากประเทศอังกฤษ ส่วนในระดับปริญญาโทผู้สมัครจะต้องมีผลการเรียนระดับ 2:1 ขึ้นไป บางมหาวิทยาลัยจะพิจารณาใบสมัครของคุณเป็นพิเศษ ถ้าคุณมีความถนัดในวิชาภาษาอังกฤษ วรรณกรรมภาษาอังกฤษ กฎหมาย หรือเศรษฐศาสตร์
แต่ละมหาวิทยาลัยจะกำหนดเกณฑ์ในการรับสมัครที่ต่างกันออกไป แต่โดยมากแล้วผู้สมัครจากประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก จะต้องสอบ IELTS ได้อย่างน้อย 6.0 คะแนนขึ้นไป และสำหรับมหาวิทยาลัยบางแห่งที่มีชื่อเสียง ระดับคะแนนอาจจะเพิ่มเป็น 6.5 คะแนน
การศึกษาประวัติศาสตร์จะเน้นการวิเคราะห์เป็นหลัก และประเมินผลผู้เรียนผ่านแบบฝึกหัดงานเขียนและการสอบ ไม่ค่อยมีการปฏิบัติมากนัก หลักสูตรปริญญาตรีจะใช้เวลาเรียนอย่างน้อย 3 ปี แต่ถ้าเรียนที่ประเทศสก็อตแลนด์ จะใช้เวลาเรียนอย่างน้อย 4 ปี บางหลักสูตรที่ร่วมโครงการกับ Erasmus (European Community Action Scheme for the Mobility of University Students) นักศึกษาอาจจะมีโอกาสได้เดินทางไปต่างประเทศ 1 ปีด้วย ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อผู้ที่ต้องการศึกษาประวัติศาสตร์ต่างประเทศ
การเลือกสถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัยเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะเมื่อคุณเรียนสาขาวิชาประวัติศาสตร์ สภาพแวดล้อมในละแวกนั้นจะมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อเนื้อหาหลักสูตร และอาจารย์ผู้สอนที่เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ คุณควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนยื่นใบสมัคร ว่าคุณสนใจประวัติศาสตร์ด้านไหนเป็นพิเศษ และเลือกมหาวิทยาลัยให้ตรงกับความต้องการ หากสนใจประวัติศาสตร์อังกฤษในยุคกลาง คุณควรเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยอย่าง York และ Nottingham แต่ถ้าสนใจเรื่องการตั้งถิ่นฐานของชาวโรมัน มหาวิทยาลัยอย่าง Newcastle และ Durham ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
ผู้เรียนประวัติศาสตร์สามารถเลือกประกอบอาชีพได้มากมาย ซึ่งข้อสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือ การเลือกมหาวิทยาลัยที่มีเครือข่ายกับองค์กรชั้นนำที่คุณอยากร่วมงานด้วย อย่าคิดว่ามันเร็วเกินไป ที่จะมองการณ์ไกลถึงงานในอนาคต ตั้งแต่ขั้นตอนการเลือกสถานศึกษา คุณควรเลือกมหาวิทยาลัยที่มีบริการแนะนำสถานที่ทำงานนอกเวลาในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะประสบการณ์ระหว่างเรียนเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการสมัครงานในอนาคต
แต่ละมหาวิทยาลัยจะมีเงื่อนไขการรับสมัครที่ต่างกันออกไป อย่าลืมตรวจสอบคุณสมบัติของตัวเองให้ดีว่า ผ่านเกณฑ์การรับหรือไม่ และค่าธรรมเนียมการศึกษา ก็เป็นอีกปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง หากคุณมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ควรมองหามหาวิทยาลัยที่มีทุนสำหรับนักศึกษาขาดแคลนไว้เป็นทางเลือกหนึ่งด้วย