กฎหมายศึกษา คือ การศึกษาที่มุ่งเน้นทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘หลักการปฏิบัติทางกฎหมาย’ กฎหมายศึกษาครอบคลุมหลายหัวข้อตั้งแต่เรื่องสิทธิมนุษยชนไปจนถึงกฎหมายเกี่ยวกับพาณิชย์และทรัพย์สิน โดยทั่วไปกฎหมายจะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของคนในสังคมให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยใช้มาตรฐานทางคุณธรรมจริยธรรมเป็นบรรทัดฐาน ในการพิจารณาว่าพฤติกรรมแบบไหนสังคมยอมรับได้ และพฤติกรรมแบบไหนที่สังคมยอมรับไม่ได้
ผู้เรียนกฎหมายศึกษาจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับโครงสร้างของกฎหมาย เหตุผลทางกฎหมาย และสามารถนำวิธีการเหล่านี้ ไปประยุกต์ใช้ได้ในสถานการณ์จริง
ศิษย์เก่าส่วนใหญ่ในสาขาวิชากฎหมายศึกษา มักสนใจทำงานด้านกฎหมาย บางคนเลือกที่ฝึกเข้าคอร์สฝึกอบรมเพิ่มเติมเพื่อเป็นทนายความ ซึ่งแบ่งออกเป็น Solicitor ทนายที่ติดต่อกับลูกความโดยตรง ร่างและจัดเตรียมเอกสาร และ Barrister ทำหน้าที่ว่าความในศาล และมักจะไม่ได้ข้องเกี่ยวกับลูกความโดยตรง แต่ส่วนใหญ่แล้วบัณฑิตมักนิยมทำงานเป็นเลขานุการในสำนักกฎหมาย หรือทำงานเป็นนักวิจัย
หากไม่ต้องการทำงานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายโดยตรง บัณฑิตยังสามารถนำความรู้ที่เรียนมา ไปทำงานให้กับหน่วยงานของรัฐบาล อย่างเช่น สำนักงานบริการสวัสดิการสังคม สำนักงานคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้บริโภค ซึ่งต้องการตัวบุคลากรที่มีความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับกฎหมายมหาชนและกฎหมายแพ่ง
นอกจากนี้ยังมีบัณฑิตอีกจำนวนมาก ที่นำทักษะไปประยุกต์ใช้กับการทำงานด้านอื่น โดยงานที่ได้รับความนิยมก็อย่างเช่น ด้านธุรกิจและการเงิน การบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ การบัญชี และวารสารศาสตร์
กฎหมายศึกษาเป็นสาขาวิชาที่ได้รับความนิยม จึงมีการแข่งขันและเกณฑ์การรับสมัครสูงพอสมควร ในระดับปริญญาตรี ผู้สมัครจะต้องมีผลการเรียนระดับ 3 A-levels ขึ้นไป หรือเทียบเท่าสำหรับนักเรียนจากประเทศที่ใช้ระบบการศึกษาต่างจากประเทศอังกฤษ ส่วนในระดับปริญญาโท ผู้สมัครจะต้องมีผลการศึกษาค่อนข้างดีมากในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง และได้รับวุฒิการศึกษาก่อนเริ่มคอร์สนี้
หลักสูตรส่วนใหญ่จะเน้นการฟังบรรยายในห้องเป็นหลัก ซึ่งนักศึกษาจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับทฤษฎีทางกฎหมาย และวิธีการนำไปประยุกต์ใช้กับกรณีศึกษาที่หลากหลาย ผู้เรียนจะได้รับการประเมินผลผ่านแบบฝึกหัดงานเขียน และการสอบข้อเขียน บางหลักสูตรอาจกำหนดให้ผู้เรียนต้องฝึกปฏิบัติงานในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย
ระยะเวลาในการเรียนจะขึ้นอยู่กับระดับการศึกษา โดยส่วนใหญ่แล้วจะใช้เวลาเรียนประมาณ 1-4 ปี (สำหรับระดับปริญญาตรี) และผู้มาจากประเทศที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก จะต้องสอบ IELTS ได้อย่างน้อย 6.0 คะแนนขึ้นไป เพื่อแสดงให้เห็นว่าภาษาอังกฤษจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการศึกษาของคุณ
หนึ่งในสิ่งสำคัญมากทีควรคำนึงถึงคือ โอกาสที่คุณจะได้รับในระหว่างศึกษา การรับบุคลากรเข้าทำงานในหน่วยงานด้านกฎหมาย นอกจากพิจารณาความสามารถแล้ว เขายังพิจารณาว่าคุณเคยทำงานที่ไหนมาก่อนด้วย คุณจึงควรเลือกมหาวิทยาลัยที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับหน่วยงานด้านกฎหมายในท้องถิ่น เพื่อประโยชน์ในการหาประสบการณ์เพิ่มเติมระหว่างเรียน ถึงแม้ว่าบางหลักสูตรอาจจะไม่ได้บังคับให้คุณต้องฝึกปฏิบัติงานจริงในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่คุณควรพยายามหาประสบการณ์ด้านกฎหมายเพิ่มเติมในระหว่างเรียนด้วย การมีประสบการณ์จะทำให้ประวัติของคุณดูน่าสนใจยิ่งขึ้นเมื่อไปสมัครงาน
สำหรับสถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัย คุณควรเลือกให้เหมาะสมกับบุคลิกภาพของตัวเอง และที่สำคัญคือเมืองที่เลือกต้องเป็นเมืองที่คุณจะใช้ชีวิตนักศึกษาได้อย่างมีความสุขมากที่สุด เพราะคุณอาจจะไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตแบบนี้อีกแล้ว หากเป็นไปได้ควรลองหากเวลาไปเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยที่สนใจก่อน เพื่อสำรวจว่ากิจกรรมทางสังคมของที่นั่นเยอะหรือน้อยเกินไปสำหรับคุณหรือไม่
ค่าธรรมเนียมการศึกษาและเกรดของคุณ ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม มหาวิทยาลัยหลายแห่ง กำหนดเกณฑ์การรับสมัครในระดับปริญญาตรีไว้ว่าจะต้องสอบผ่าน A-levels และในระดับปริญญาโทจะต้องสอบผ่านด้วยระดับคะแนน 2:1 ก่อนตัดสินใจยื่นใบสมัครอย่าลืมตรวจสอบให้แน่ใจว่า เกรดของคุณผ่านเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้ และหากมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย อย่าลืมมองหามหาวิทยาลัยที่มีทุนสนับสนุนแก่นักศึกษาขาดแคลนเอาไว้เป็นทางเลือกหนึ่งด้วย