ตราบใดที่ยังมีภาษา วรรณกรรมก็จะยังมีอยู่เช่นกัน วรรณกรรมในยุคโบราณถ่ายทอดเรื่องราวผ่านภาษาพูดและการวาดภาพ เพราะคนส่วนใหญ่ยังไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ มาจนถึงยุคหนึ่งที่เริ่มมีเทคโนโลยีการเขียน การพิมพ์เข้ามา ทำให้งานวรรณกรรมสามารถเผยแพร่ไปในวงกว้าง และเก็บใจความสำคัญได้ครบถ้วน วรรณกรรมจึงเริ่มมีความคลาสิกร่วมสมัยมากขึ้น ในเชิงการใช้ภาษาการศึกษาวรรณกรรมแสดงให้เราเห็นว่า มีหลากหลายวิธีมากในการปรับใช้คำ เพื่อให้ความพึงพอใจ ให้ความสนุกสนาน และให้ความรู้แก่ผู้รับสาร
ออสการ์ ไวล์ด (Oscar Wilde) นักเขียนและกวีคนสำคัญชาวไอริชเคยกล่าวไว้ว่า “There is no such thing as a moral or immoral book. Books are badly written or they are not. That is all.” “ไม่มีหรอกสิ่งที่เรียกว่าหนังสือมีศีลธรรมหรือหนังสือไร้ศีลธรรม จะมีก็แต่หนังสือที่เขียนดีกับหนังสือที่เขียนเลวเท่านั้นเอง” การได้ศึกษาผ่านงานวรรณกรรมที่ยิ่งใหญ่ จะทำให้ผู้เรียนเข้าใจพลังของอาชีพนักเขียน และพลังจากถ้อยคำที่พวกเขาเลือกใช้ คอร์สนี้จะสอนให้คุณเข้าใจว่าวรรณกรรมที่เขียนดีมีลักษณะอย่างไร และมีการศึกษาเรื่องสังคมและประวัติศาสตร์ ผ่านตำราที่เขียนขึ้นโดยผู้มีอิทธิพลทางวัฒนธรรมในยุคสมัยนั้นๆ ว่าพวกเขามีมุมมองและทัศนคติอย่างไรบ้างต่อบริบททางสังคมและบริบททางประวัติศาสตร์
วรรณกรรมภาษาอังกฤษ เป็นหลักสูตรที่น่าสนใจและมีเนื้อหาครอบคลุมหลายหัวข้อตั้งแต่ นิยายอิงประวัติศาสตร์ บทกวีในยุคกลาง นิยายวิทยาศาสตร์ ไปจนถึงนิทาน เทพนิยาย และตำนานที่เล่ากันมาปากต่อปาก หากคุณหลงใหลเกี่ยวกับการเขียน และชื่นชอบการอ่านหนังสือหลากหลายแนว คุณก็น่าจะเรียนสาขาวิชาวรรณกรรมได้อย่างมีความสุข
การเรียนในห้องของหลักสูตรนี้จะค่อนข้างน้อยกว่าสาขาวิชาอื่น แต่คุณจะต้องมีแรงจูงใจอย่างมากในการศึกษาเพิ่มเติมนอกห้องเรียนด้วยตัวเอง คอร์สนี้คุณจะต้องเข้าฟังแลคเชอร์ เข้าร่วมการสัมมนา และติดตามตัวอย่างงานเขียนที่อาจารย์นำมาแนะนำให้อย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้คุณยังต้องใช้เวลานอกห้องเรียน อ่านหนังสือสัปดาห์ละประมาณ 2-3 เล่ม และทำการวิจัยในหัวข้อที่สนใจด้วย
ผู้เรียนคอร์สนี้ต้องมีทักษะในการคิดวิเคราะห์ที่แข็งแกร่ง คุณจะต้องส่งความเรียงทุกสัปดาห์ และเข้าร่วมการอภิปรายกลุ่มย่อย เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับใจความสำคัญๆ ของตำราเรียน และเป็นเรื่องสำคัญมากที่คุณต้องสามารถซึมซับเรื่องราวจากวรรณกรรมที่อ่าน และวิเคราะห์ประเด็นสำคัญที่ผู้เขียนต้องการสื่อออกมาได้ รวมถึงสามารถควบคุมสมดุลระหว่าง ความคิดเห็นของผู้เขียนกับความคิดเห็นส่วนตัวของคุณ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ศิษย์เก่าสาขาวิชาวรรณกรรม สามารถนำทักษะด้านการใช้ภาษาไปประยุกต์ใช้ในการทำงานได้หลากหลายมาก ซึ่งรายได้จะขึ้นอยู่กับประเทศที่เลือกไปทำงาน สำหรับในประเทศอังกฤษรายได้เฉลี่ยเริ่มต้นจะอยู่ที่ 18,338 ปอนด์ต่อปี (ประมาณ 871,000 บาท) และมีความยืดหยุ่นในการเลือกทำงานได้สูงพอสมควร
หนึ่งในอาชีพที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากคืองานด้านการสอน ผู้ที่จบสาขาวิชาวรรณกรรมในระดับปริญญา และมีประสบการณ์ทำงานด้านการสอนมาบ้าง เป็นที่ต้องการตัวอย่างมากในตลาดแรงงาน เพราะครูเป็นอาชีพที่ค่อนข้างขาดแคลนบุคลากร มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จึงเปิดสอนคอร์ส Postgraduate Certificate in Education (PGCE) โดยได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาล ซึ่งทำให้ผู้เรียนประหยัดค่าธรรมเนียมการศึกษาไปได้มากทีเดียว รายได้เฉลี่ยเริ่มต้นของผู้เป็นครูในประเทศอังกฤษอยู่ที่ 21,588 ปอนด์ต่อปี (ประมาณ 1,025,000 บาท) หรืออาจสูงถึง 27,000 ปอนด์ (ประมาณ 1,282,000 บาท) หากคุณสอนอยู่ที่เมืองใหญ่อย่างลอนดอน บริษัทหลายแห่งต้องการตัวศิษย์เก่าสาขาวิชาวรรณกรรมไปร่วมงานด้วย เนื่องจากคอร์สนี้สอนให้เชี่ยวชาญในทักษะการคิดวิเคราะห์ บัณฑิตจึงสามารถนำทักษะไปประยุกต์ใช้ทำงานที่น่าสนใจ อย่างเช่น นักวารสารศาสตร์ ผู้ช่วยฝ่ายประชาสัมพันธ์ ผู้ช่วยแผนกการตลาดและมีเดีย หรือเป็นก็อปปี้ไรเตอร์ ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ
นอกจากนี้บัณฑิตหลายคนยังนิยมเรียนต่อคอร์สกฎหมาย เพื่อทำงานเป็นนักกฎหมาย ทนายความ หรือ ผันตัวไปทำงานด้านการเงินและการธนาคาร ก็สามารถทำได้เช่นกัน
แม้ค่าตอบแทนเริ่มต้นสำหรับบัณฑิตจบใหม่จะน้อยกว่าสาขาวิชาอื่น แต่คอร์สนี้ก็ยังมีการแข่งขันสูง และได้รับความนิยมไม่น้อยจากคนที่หลงใหลในด้านวรรณกรรมอย่างจริงจัง และต้องการเรียนวิชาที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้หลากหลายเมื่อจบการศึกษา
มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ กำหนดให้ผู้สมัครในระดับปริญญาตรี ต้องมีผลการเรียนระดับ A-levels ขึ้นไป หรือเทียบเท่าในวิชาที่เกี่ยวข้องกับวรรณกรรม หรือวิชาที่มีเนื้อหาใกล้เคียง อย่างเช่น ภาษาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ส่วนในระดับปริญญาโทผู้สมัครจะต้องมีผลการเรียนระดับ 2:1 ขึ้นไปหรือเทียบเท่า และผู้สมัครจากประเทศที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก จะต้องยื่นผลคะแนนสอบ IETLS มากับใบสมัครด้วย
หลักสูตรปริญญาตรีส่วนใหญ่จะใช้เวลาเรียนอย่างน้อย 3 ปี บางมหาวิทยาลัยอาจมีโปรแกรมส่งนักศึกษาไปเข้าโครงการแลกเปลี่ยนกับ Erasmus (European Community Action Scheme for the Mobility of University Students) ซึ่งจะต้องใช้เวลาเรียนเพิ่มขึ้นอีก 1 ปี เพื่อให้นักศึกษาได้เดินทางไปเรียนหรือทำงานที่ต่างประเทศ ส่วนหลักสูตรปริญญาโทจะใช้เวลาเรียน 1 ปี และหลักสูตรปริญญาเอกจะใช้เวลาประมาณ 3 ปี
เมื่อหลักสูตรวรรณกรรมได้รับความนิยมจากผู้เรียนปริญญาตรีมากขึ้น มหาวิทยาลัยหลายแห่งจึงเปิดสอนวิชานี้เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน คุณจึงมีทางเลือกเป็นจำนวนมากและไม่ต้องแข่งขันมากนัก แต่ก็ต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนว่าหลักสูตรไหนเหมาะสมกับตัวคุณมากที่สุด
สิ่งแรกที่ควรพิจารณาคือเนื้อหาของหลักสูตร คุณต้องใช้เวลาในการศึกษาหลายปี จึงควรเลือกหลักสูตรให้ตรงกับความสนใจของตัวเองมากที่สุด ซึ่งก็อาจจะประเมินได้ จากการหาข้อมูลแบบฝึกหัดและแบบทดสอบของคอร์สนั้น มาพิจารณาดูว่าสิ่งที่พวกเขาสอนน่าสนใจมากน้อยขนาดไหน
สถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัยก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะมันจะส่งผลอย่างมากต่อประสบการณ์ที่คุณจะได้รับ มหาวิทยาลัยที่มีศักยภาพและได้รับความนิยม จะมีคอนเนคชั่นที่ดีกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายแห่ง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการหาประสบการณ์เพิ่มเติมในระหว่างเรียน และยังเพิ่มโอกาสได้งานที่ดีในอนาคตอีกด้วย การเรียนมหาวิทยาลัยชั้นนำในเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองด้านประวัติศาสตร์วรรณกรรมและศิลปการละคร อย่างเช่น Oxford University, London University และ Edinburgh University ในประเทศอังกฤษ, Toronto University ในประเทศแคนาดา และ Chicago University ในประเทศอเมริกา จะช่วยให้คุณมีโอกาสทำความรู้จักกับบริษัทที่ทำงานด้านวรรณกรรม และมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมน่าสนใจในละแวกนั้นมากขึ้น
ก่อนยื่นใบสมัครอย่างลืมตรวจสอบเรื่องค่าธรรมเนียมการศึกษาและเกรดที่ผ่านมาของคุณด้วย มหาวิทยาที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง อย่างเช่น Oxford, Cambridge, Harvard และ Yale มักกำหนดเกณฑ์ไว้ว่าผู้สมัครจะต้องมีผลการเรียนอย่างน้อยระดับ 3 A-levels ขึ้นไป หรือเทียบเท่าในระดับดีเยี่ยม หากเกรดของคุณไม่สูงนักแต่ต้องการเรียนในเมืองที่เฉพาะเจาะจง ก็อาจลองมองหาเมืองที่มีมหาวิทยามากกว่าหนึ่งแห่งดู และหากมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ควรมองหามหาวิทยาลัยที่มีทุนสนับสนุนแก่นักศึกษาขาดแคลนเอาไว้เป็นทางเลือกหนึ่งด้วย