การบริการซ่อมบำรุง หมายถึง การประยุกต์ใช้หลักการทางวิศวกรรมศาสตร์และตรรกะ เพื่อแก้ปัญหาและดูแลรักษาสิ่งปลูกสร้าง โครงสร้างของอาคาร และอุปกรณ์ต่างๆ วิศวกรซ่อมบำรุงมีบทบาทอย่างมาก ในการดำเนินงานของอุตสาหกรรมการผลิตและอุตสาหกรรมการก่อสร้าง วิศวกรซ่อมบำรุงทำหน้าที่เป็นผู้วางแผนการผลิต และดูแลอุปกรณ์เครื่องจักรต่างๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ รวมถึงควบคุมงบประมาณ และดูแลเรื่องข้อกำหนดทางกฎหมายด้วย
คุณหลงใหลในด้านวิศวกรรมศาสตร์และการก่อสร้างหรือไม่? คุณสนใจเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์กายภาพ และอยากทำงานเฉพาะทางด้านนี้บ้างไหม? ถ้าคำตอบคือใช่ สาขาวิชาการบริการซ่อมบำรุงก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ
ผู้เรียนจะต้องมีความถนัดในวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ มีความสนใจในธุรกิจการค้า และมีทักษะในการแก้ปัญหา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญมากของเนื้อหาการเรียนการสอนในคอร์สนี้
นอกจากความถนัดในวิชาที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว หากต้องการได้เกรดที่ดี ผู้เรียนจะต้องทำงานหนัก เข้าฟังแลคเชอร์และร่วมการสัมมนาอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงสามารถดำเนินการศึกษาค้นคว้าอิสระด้วยตัวเอง และทำแบบฝึกหัดตามที่ได้รับมอบหมายอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
บัณฑิตส่วนใหญ่ ตั้งใจจะทำงานเป็นวิศวกรด้านการบำรุงรักษา ซึ่งพนักงานจบใหม่ในประเทศอังกฤษจะได้รับค่าตอบแทนเฉลี่ย 20,000-24,000 ปอนด์ (950,000-1,140,000 บาท) ต่อปี ทั้งนี้อาจจะได้มากน้อยต่างกันขึ้นอยู่กับอัตราค่าแรงในแต่ละพื้นที่ ผู้ที่เชี่ยวชาญเทคนิคเฉพาะทาง อาจมีโอกาสได้เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ยังที่ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ
สำหรับผู้เรียนที่ไม่ต้องการทำงานด้านการบริการซ่อมบำรุง ก็สามารถผันตัวไปทำงานด้านการตลาด การเงิน การบริหารทรัพยากรมนุษย์ และไอที ได้อย่างไม่ลำบากนัก เพราะนอกจากเนื้อหาหลักๆ เกี่ยวกับการซ่อมบำรุงแล้ว คอร์สนี้ยังสอนให้ผู้เรียนเข้าใจหลักการทางธุรกิจ และวิธีประสานงานกับผู้มีอำนาจตัดสินใจในทางเทคนิคด้านอื่นๆ อีกด้วย
หากคุณสนใจศึกษาต่อเพิ่มเติม ก็สามารถเลือกเรียน Graduate Diploma in Law (GDL) เพื่อต่อยอดความรู้สำหรับทำงานด้านกฎหมาย หรือเรียน Post-Graduate Certificate in Education (PGCE) เพื่อจบไปทำงานเป็นอาจารย์ ก็สามารถทำได้เช่นกัน และเนื่องจากตลอดระยะเวลาของคอร์ส ผู้เรียนจะได้ฝึกทักษะการจัดการและการคิดวิเคราะห์มาโดยตลอด อาชีพอย่างนักข่าว และผู้บริหารจัดการโครงการ ก็เป็นอีกสายงานหนึ่งที่บัณฑิตสามารถทำได้
ก่อนส่งใบสมัคร คุณควรพิจารณาเกรดของตัวเองก่อนว่า ผ่านเกณฑ์ตามที่มหาวิทยาลัยนั้นกำหนดไว้หรือไม่ และอย่าลืมสำรวจสถานะทางการเงินด้วยว่า คุณมีความสามารถมากพอที่จะจ่ายทั้งค่าธรรมเนียมการศึกษา และการใช้จ่ายในการกินอยู่ได้หรือไม่ หากมีปัญหาด้านการเงิน ควรมองหามหาวิทยาลัยที่มีทุนสนับสนุนแก่นักศึกษาขาดแคลนไว้เป็นทางเลือกหนึ่ง หรือลองหาช่องทางทำงานพิเศษนอกเวลาเรียน ซึ่งก็ต้องระมัดระวังให้ดี เพราะการทำงานไปด้วยอาจจะกระทบต่อการเรียนได้
สถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัย เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ การเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ และทำความรู้จักกับผู้คนที่หลากหลาย นับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตนักศึกษาที่สำคัญไม่แพ้การเรียนในห้อง ไม่ว่าจะเลือกมหาวิทยาลัยในเมืองใหญ่ที่แสนคึกคักมีชีวิตชีวา หรือมหาวิทยาลัยในเมืองเล็กๆ อันเงียบสงบ ใกล้ชิดกับชุมชน ก็ไม่มีทางเลือกไหนที่ถูกหรือผิดทั้งนั้น ประสบการณ์ที่จะได้รับตลอดระยะเวลาการศึกษา ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเลือกของคุณ สิ่งที่ควรคำนึงคือเลือกให้เหมาะสมกับบุคลิกและความต้องการของตัวเองเป็นสำคัญ
นอกจากเรื่องค่าใช้จ่ายและสถานที่ตั้งแล้ว อีกเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามคือหลักสูตรการเรียนการสอน และความเชี่ยวชาญของอาจารย์ผู้สอน แม้โครงสร้างหลักๆ ของแต่ละคอร์สในมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะคล้ายคลึงกัน แต่เมื่อลงลึกในรายละเอียดของรายวิชา หลายๆ ที่ก็มีเนื้อหาที่แตกต่างกันพอสมควร คุณควรเลือกหลักสูตรที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานในอนาคตมากที่สุด