ดนตรีเป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่อยู่คู่มนุษย์มานับพันปี มนุษย์รู้จักการนำเสียงดนตรี ซึ่งเกิดจากความถี่ของเสียงในระดับต่างๆ ที่แตกต่างกันและการให้จังหวะ มาใช้เพื่อสร้างความเพลิดเพลิน และใช้ประกอบการแสดงละคร ตั้งแต่ยุคสมัยอารยธรรมกรีก-โรมันโบราณ จนมาถึงทุกวันนี้ดนตรีมีความร่วมสมัยมากขึ้น อุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ได้เปิดโลกให้คนทำงานด้านดนตรีสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ในประเทศอังกฤษ มีหลักสูตรเฉพาะทางเกี่ยวกับดนตรีให้เลือกเรียนมากมาย ตั้งแต่คอร์สการผลิตเพลงและดนตรีประกอบ ไปจนถึงการศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์ดนตรีและทฤษฎีดนตรี ซึ่งต่างก็มีความน่าสนใจไปคนละแบบ
นักศึกษาส่วนใหญ่ที่เรียนด้านดนตรี มีความมุ่งมั่นที่จะทำงานเป็นนักดนตรีเมื่อจบการศึกษา แต่เส้นทางสู่การเป็นนักดนตรีนั้นมีตลาดงานรองรับค่อนข้างน้อย จึงไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถทำงานเป็นนักดนตรีได้ บัณฑิตจำนวนมากจึงมักเลือกทำงานด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับดนตรีแทน
อาชีพที่เกี่ยวข้องกับด้านดนตรี ก็อย่างเช่นการเป็นครูสอนดนตรี ทั้งในโรงเรียนมัธยม และสอนพิเศษตามสถาบันต่างๆ ผู้ที่เป็นครูจะต้องวางแผนการสอนให้สอดคล้องกับหลักสูตรการศึกษาแห่งชาติ และติดตามความคืบหน้าของนักเรียนเป็นรายบุคคลอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังสามารถทำงานเป็นนักบำบัด ฟื้นฟูสุขภาพร่างกายและจิตใจให้กับผู้ป่วย โดยสอนให้ผู้ป่วยฟังดนตรีหรือเล่นดนตรี
รายได้เฉลี่ยเริ่มต้นของผู้จบสาขาวิชาดนตรีในประเทศอังกฤษอยู่ที่ 16,925 ปอนด์ต่อปี (ประมาณ 804,000 บาท) ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของบัณฑิตจบใหม่ทั่วไปที่มีรายได้ประมาณ 20,964 ปอนด์ต่อปี (ประมาณ 995,800 บาท) ด้วยเหตุนี้ บัณฑิตจำนวนมากจึงมักผันตัวไปทำงานด้านอื่น ที่ยังสามารถนำความรู้ด้านดนตรีไปประยุกต์ใช้ได้ อย่างเช่น งานด้านวารสารศาสตร์ เขียนบทความ ทำข่าวเกี่ยวกับดนตรี หรือทำงานด้านการประชาสัมพันธ์ การตลาด และการโฆษณา ในลักษณะที่ยังเกี่ยวข้องกับวงการดนตรี เช่น เป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ให้กับวงดนตรี เป็นต้น
เช่นเดียวกับคอร์สอื่นๆด้านความคิดสร้างสรรค์ สาขาวิชาดนตรี กำหนดเกณฑ์การรับสมัครนักศึกษาไว้ค่อนข้างยากพอสมควร ผู้สมัครในระดับปริญญาตรี จะต้องมีผลการเรียนระดับ 3 A-levels ขึ้นไป หรือเทียบเท่าสำหรับนักเรียนจากประเทศที่ใช้ระบบการศึกษาต่างจากประเทศอังกฤษ และจะต้องเข้ามาออดิชั่น แสดงทักษะทางด้านดนตรีให้คณะกรรมการพิจารณาด้วย สำหรับผู้มาจากประเทศที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก จะต้องสอบ IELTS ได้อย่างน้อย 6.0 คะแนนขึ้นไป
หลักสูตรปริญญาตรีส่วนใหญ่จะใช้ระยะเวลาเรียนประมาณ 3 ปี โดยผู้เรียนจะได้ศึกษาเทคนิคทางด้านดนตรีที่หลากหลาย ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับการทำงานในอนาคต ส่วนคอร์สที่สูงกว่าปริญญาตรีขึ้นไป จะใช้เวลาเรียนประมาณ 1-3 ปี ขึ้นอยู่กับว่าเรียนระดับปริญญาโท หรือ ปริญญาเอก และขึ้นอยู่กับว่าเนื้อหาหลักสูตรนั้นๆ มุ่งเน้นศึกษาแง่มุมไหนเกี่ยวกับดนตรีเป็นพิเศษ
การเรียนการสอนส่วนใหญ่จะเน้นฝึกปฏิบัติ ทั้งในแง่ของการแสดงดนตรี และการผลิตเพลง หรือทำดนตรีประกอบ อาจจะมีการเรียนทฤษฎีทางดนตรี และส่งงานที่เป็นข้อเขียนบ้าง แต่ไม่เยอะเท่าการฝึกปฏิบัติ
การเข้าสู่วงการเพลงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก หากคุณวางแผนไว้ว่าจะทำงานเป็นนักดนตรี คุณควรมองหาสถาบันการศึกษาที่มีความสัมพันธ์อันดีกับบริษัทเพลง และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมดนตรี เอาไว้เป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ และใช้ประโยชน์จากคอนเนคชั่นเหล่านั้นให้คุ้มค่า
สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ควรพิจารณาคือสถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัย คุณจะต้องใช้เวลาอยู่ที่นั่นเป็นปี จึงควรเลือกเมืองให้เหมาะสมกับรสนิยมและบุคลิกภาพของตัวเอง อย่าลืมพิจารณาเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และตรวจเช็คคำถามสำคัญต่อไปนี้ เมืองที่เลือกนั้นมีแหล่งความรู้ด้านวัฒนธรรมดนตรี ที่คุณจะสามารถเข้าไปหาความรู้ คอนเนคชั่น และประสบการณ์ อยู่ในละแวกใกล้เคียงบ้างไหม? มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่อการฝึกปฏิบัติด้านดนตรีเพียงพอหรือไม่? หากจำเป็นต้องทำงานพิเศษเพื่อหารายได้ ภายในเมืองมีงานให้ทำไหม? คุณควรเลือกเมืองที่เป็นศูนย์กลางความคิดสร้างสรรค์ เจริญเติบโตทางด้านศิลปะและดนตรี เพื่อที่คุณจะได้ซึมซับบรรยากาศนั้น และมีโอกาสได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับวัฒนธรรมทางดนตรีอย่างเต็มที่
อีกเรื่องที่ควรพิจารณาคือความสนใจเฉพาะทางของคุณเอง บางมหาวิทยาลัยจะเน้นสอนเกี่ยวกับดนตรีคลาสสิก ในขณะที่บางคอร์สอาจมุ่งความสนใจไปที่ดนตรีร่วมสมัย คุณจะต้องศึกษารายละเอียดของแต่ละหลักสูตรให้ดี และเลือกคอร์สให้ตรงกับความต้องการของตัวเอง
ค่าธรรมเนียมการศึกษาและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน นับเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ก่อนยื่นใบสมัครไปยังมหาวิทยาลัยที่ต้องการ ควรลองลิสต์ค่าใช้จ่ายทั้งหมดออกมา และประเมินสถานการณ์ว่าคุณจะสามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้หรือไม่ หากมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ควรมองหามหาวิทยาลัยที่มีทุนสนับสนุนแก่นักศึกษาขาดแคลนเอาไว้เป็นทางเลือกหนึ่งด้วย และอย่าลืมประเมินตัวเองด้วยว่า ทักษะทางดนตรีของคุณแม่นยำพอสำหรับการออดิชั่นหรือยัง หากคุณยังไม่มั่นใจ ก็อาจจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการฝึกซ้อมเพื่อการออดิชั่นเพิ่มเติมด้วย