รัฐศาสตร์ในภาษาอังกฤษคือคำว่า Political มีที่มาจากคำว่า Politikos ในภาษากรีกโบราณ ซึ่งมีความหมายว่า เพื่อพลเมืองหรือเกี่ยวข้องกับพลเมือง การเรียนรัฐศาสตร์ คือ การศึกษาเกี่ยวกับความเชื่อ หลักการ และวิธีการที่การเมืองมีผลกระทบต่อสังคม ในขณะที่คนส่วนใหญ่คิดว่าการเมืองหมายถึงเรื่องของรัฐและรัฐบาล แต่การศึกษาเรื่องรัฐศาสตร์ในระดับปริญญานั้น มีเนื้อหาที่ครอบคลุมมากกว่านั้น โดยเนื้อหาที่เรียนจะพูดถึงตั้งแต่ เรื่องเสรีภาพทางการเมืองไปจนถึงเรื่องเพศสภาวะกับการเมืองเลยทีเดียว
หากคุณสนใจเรียนรู้เกี่ยวกับระบบโครงสร้างทางสังคม และต้องการทำความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของผู้คน ทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ สาขาวิชารัฐศาสตร์น่าจะเหมาะสมกับคุณเป็นอย่างยิ่ง
ผู้เรียนรัฐศาสตร์จะต้องสนใจในสาขาวิชานี้อย่างจริงจัง และที่สำคัญคือคุณต้องสนใจในวิชาอื่นที่เกี่ยวข้อง อย่างเช่นประวัติศาสตร์และกฎหมายด้วย เนื่องจากวิชาเหล่านี้ครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมดของคอร์สนี้ นอกจากนี้ผู้เรียนยังควรมีทักษะการวิเคราะห์ที่แข็งแกร่ง เพื่อทำความเข้าใจผลกระทบสำคัญๆ จากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์และคดีความในอดีตที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างทางการเมือง
นักศึกษาสาขาวิชารัฐศาสตร์ จะต้องทำวิจัยในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับวิชาเรียนและวิจัยเชิงวิพากษ์สังคม โดยใช้เวลานอกชั่วโมงเรียน ผู้เรียนคอร์สนี้จึงต้องพร้อมทำงานหนัก มีแรงจูงใจในเนื้อหารายวิชา และมีระบบการจัดการที่ดีเยี่ยม
อาจดูเป็นเรื่องแปลก แต่ศิษย์เก่าสาขาวิชารัฐศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่นิยมทำงานด้านรัฐศาสตร์โดยตรง อย่างการเป็นผู้ดำรงตำแหน่งหน้าที่ทางการเมือง อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีบัณฑิตหลายคนที่ทำงานใกล้เคียง เช่น เป็นนักวิจัยด้านรัฐศาสตร์ ให้กับพรรคการเมืองทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น
บัณฑิตจำนวนมากนิยมทำงานด้านธุรกิจ การตลาด และการประชาสัมพันธ์ โดยเฉพาะผู้ที่มีทักษะการวิเคราะห์ และมีความสามารถในการทำความเข้าใจความคิดของคนบางกลุ่มที่มีระบบความเชื่อเฉพาะตัว
สำหรับผู้ที่มีความสนใจด้านเศรษฐศาสตร์หรือกฎหมาย ก็มีทางเลือกในการประกอบได้หลากหลายพอสมควร ผู้ที่มีความรู้เชิงลึกในการเชื่อมโยงการเมืองและเศรษฐศาสตร์เข้าด้วยกัน มักเป็นที่ต้องการตัวอย่างมากสำหรับงานด้านการเงินและการธนาคาร ส่วนผู้ที่ความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายเป็นพิเศษ มักเรียนต่อคอร์ส Graduate Diploma in Law เพื่อจบไปทำงานด้านกฎหมายอย่างเช่น ทนายความ หรือ ที่ปรึกษาทางกฎหมาย
หลักสูตรปริญญาตรีส่วนใหญ่จะใช้เวลาเรียนประมาณ 3 ปี และถึงแม้คำว่า Political Science ชื่อภาษาอังกฤษของสาขาวิชารัฐศาสตร์ จะมีคำว่า Science ซึ่งแปลว่าวิทยาศาสตร์อยู่ด้วย แต่จริงๆ แล้วสาขาวิชาเป็นวิชาทางด้านมนุษยศาสตร์ รูปแบบการเรียนการจะเน้นการฟังแลคเชอร์ และประเมินผลผู้เรียนผ่านงานเขียนความเรียงตามหัวข้อที่ได้รับมอบหมาย และการสอบเมื่อจบภาคการศึกษา นอกจากนี้ผู้เรียนยังต้องใช้เวลานอกห้องเรียน ในการทำวิจัยเกี่ยวกับรัฐศาสตร์ ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถกำหนดแนวทางความเชื่อของตัวเองเกี่ยวกับการเมืองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
หากอยากเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ แต่มาจากประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก ในแต่ละปีทางมหาวิทยาลัยก็ยินดีต้อนรับนักศึกษาต่างชาติเป็นจำนวนมาก โดยมีเงื่อนไขว่านักศึกษาต่างชาติเหล่านั้นจะต้องสอบ IELTS ได้อย่างน้อย 6.0 คะแนนขึ้นไป
เกณฑ์การรับสมัครอื่นๆ จะขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยที่คุณเลือก โดยส่วนใหญ่แล้วสถานศึกษามักต้องการให้ผู้สมัคร แสดงให้เห็นถึงความสนใจในสาขาวิชานี้อย่างจริงจัง ในระดับปริญญาตรี ผู้สมัครจะต้องมีผลการเรียนระดับ 3 A-levels ขึ้นไปหรือเทียบเท่า และควรเป็นวิชาที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนต่อด้านรัฐศาสตร์ เช่น ประวัติศาสตร์ ภาษาอังกฤษ กฎหมาย หรือเศรษฐศาสตร์ จะทำให้ใบสมัครของคุณดูน่าสนใจยิ่งขึ้น
การตัดสินใจเลือกสถาบันการศึกษาสำหรับเรียนสาขาวิชารัฐศาสตร์ จะมีผลอย่างมากต่อการทำงานในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณต้องการทำงานด้านการวิจัยทางรัฐศาสตร์ คุณควรเลือกสถาบันการศึกษา ที่มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับหน่วยงานที่คุณอยากจะเข้าไปทำงานด้วยไว้เป็นอันดับต้นๆ เพราะคุณจะได้รับประโยชน์อย่างมากจากการหาประสบการณ์ทำงานในระหว่างเรียนและได้รับคอนเนคชั่นที่ดี
นอกจากนี้อย่าลืมพิจารณเกณฑ์การรับสมัครของมหาวิทยาลัยที่ต้องการด้วย มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่มักกำหนดเกณฑ์ไว้ว่า ผู้สมัครในระดับปริญญาตรี จะต้องมีผลการเรียนระดับ A-level ขึ้นไปหรือเทียบเท่า ก่อนตัดสินเลือกคอร์สคุณต้องตรวจสอบให้มั่นใจว่าเกรดของคุณผ่านเกณฑ์ตามที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้
สิ่งสำคัญอีกเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม คือการเลือกสถานที่ที่คุณจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขจนจบการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณต้องจากบ้านมาไกลเพื่อมาเรียนต่อ ซึ่งเสียทั้งเวลาและเงินเป็นจำนวนมาก คุณควรพิจารณาวัฒนธรรมโดยรอบให้ตรงกับความสนใจของตัวเอง เพื่อประโยชน์สูงสุดในการเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากชีวิตนักศึกษา ทั้งในด้านวิชาการและการใช้ชีวิตนอกห้องเรียน
สุดท้ายนี้คุณควรคำนึงถึงเรื่องค่าใช้จ่ายในการศึกษา และค่าธรรมเนียมการศึกษาด้วย เพราะคุณต้องใช้เวลาเรียนอย่างน้อย 3 ปี ก่อนยื่นใบสมัครไปยังมหาวิทยาลัยที่ต้องการ ควรลองลิสต์ค่าใช้จ่ายทั้งหมดออกมา และประเมินสถานการณ์ว่าคุณจะสามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้หรือไม่ หากมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ควรมองหามหาวิทยาลัยที่มีทุนสนับสนุนแก่นักศึกษาขาดแคลนเอาไว้เป็นทางเลือกหนึ่ง