ในปีค.ศ.1964 รัฐบาลอังกฤษได้ก่อตั้ง The National Assistance Board หรือคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือแห่งชาติขึ้น เพื่อรับผิดชอบจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่คนชราและผู้พิการ และดูแลเยาวชนในสังคมให้เติบโตขึ้นอย่างเหมาะสม ตั้งแต่นั้นมางานด้านสาธารณสุขในประเทศอังกฤษ ก็มีความคืบหน้ามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง นโยบายของรัฐบาลอังกฤษได้กำหนดให้การดูแลคนชราและผู้ด้อยโอกาสในสังคม ให้ได้รับสวัสดิการที่เหมาะสมทั้งทางร่างกายและจิตใจ เป็นวาระสำคัญที่ไม่ควรละเลย
ทุกวันนี้งานด้านสาธารณสุขให้บริการกับประชาชนในขอบเขตงานที่หลากหลายมาก ทั้งในระดับปัจเจกบุคคลและในระดับครอบครัว ไม่ว่าใครที่ต้องการความช่วยเหลือก็สามารถติดต่อมายังรัฐบาลได้ และในฐานะที่สาขาวิชาสาธารณสุขเป็นคอร์สที่สร้างบุคลากรให้จบไปทำงานเพื่อสังคม ผู้เรียนด้านนี้จึงต้องเข้าใจกระบวนการทำงานด้านสาธารณสุขเป็นอย่างดี และมีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือผู้อื่นอย่างแท้จริง
หากคุณใฝ่หาอาชีพที่มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคมให้ดีขึ้น และต้องการสร้างความแตกต่างที่ดีขึ้นให้กับสังคมรอบตัว สาขาวิชาสาธารณสุขก็น่าจะเหมาะกับคุณเป็นอย่างยิ่ง
ผู้เรียนคอร์สนี้จะต้องเป็นคนใส่ใจผู้อื่น ใส่ใจสังคมรอบข้าง มีความสนใจในวิชาสังคมวิทยา กฎหมาย และประวัติศาสตร์ เพื่อประโยชน์ในการทำความเข้าใจโครงสร้างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับระบบสาธารณสุข และโครงสร้างโดยรวมของสังคมในประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นเนื้อหาสำคัญที่คุณจะได้เรียนในหลักสูตรนี้
การประเมินผลผู้เรียนส่วนใหญ่ จะประเมินจากงานเขียนความเรียง และทำรายงานตามประเด็นที่ได้รับมอบหมาย ผู้เรียนจะต้องมีแรงจูงใจในการติดตามเนื้อหารายวิชา และมีทักษะในการคิดวิเคราะห์ที่แข็งแกร่ง จึงจะประสบความสำเร็จในการเรียนคอร์สนี้
ศิษย์เก่าสาขาวิชาสาธารณสุขส่วนใหญ่ มักทำงานด้านสังคมสงเคราะห์ดูแลเด็กในบ้านอุปถัมภ์ ให้ได้รับสวัสดิการที่เหมาะสมทั้งต่อร่างกาย จิตใจ และมีความปลอดภัยในชีวิต หรือ ดูแลผู้ด้อยโอกาสที่พักอาศัยอยู่ตามที่ต่างๆ
นอกจากนี้บัณฑิตจำนวนมากยังนิยมทำงานเป็นผู้ให้คำปรึกษา ในสถาบันประกันสุขภาพแห่งชาติของอังกฤษ (NHS: National Health Service) หรือทำงานในกรมตำรวจ เป็นเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาพิเศษด้านปัญหาครอบครัวและชุมชน หรือเรียนต่อคอร์ส Graduate Diploma in Law (GDL) เพื่อผันตัวไปทำงานด้านกฎหมาย โดยเน้นไปที่กฎหมายเกี่ยวกับครอบครัว ก็สามารถทำได้เช่นกัน
หากไม่ต้องการทำงานด้านสาธารณสุขโดยตรง บัณฑิตยังสามารถนำทักษะการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น ไปใช้ทำงานด้านการค้าปลีก หรือ ทำงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อีกทั้งยังสามารถนำทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ ไปประยุกต์ใช้กับงานได้อีกหลากหลายมาก บัณฑิตบางคนเลือกทำงานเป็นนักเขียนและก็อปปี้ไรเตอร์ในองค์กรต่างๆ โดยรับผิดชอบส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมเพื่อสังคม
รายได้เฉลี่ยเริ่มต้นของผู้จบสาขาวิชาสาธารณสุขในประเทศอังกฤษอยู่ที่ 24,630 ปอนด์ต่อปี (ประมาณ 1,170,000 บาท) อาจมากน้อยต่างกันขึ้นอยู่กับค่าครองชีพในแต่ละพื้นที่
ในระดับปริญญาตรี ผู้สมัครจะต้องมีผลการเรียนระดับ 3 A-levels ขึ้นไป หรือเทียบเท่าสำหรับนักเรียนจากประเทศที่ใช้ระบบการศึกษาต่างจากประเทศอังกฤษ ส่วนในระดับปริญญาโทผู้สมัครจะต้องผลการศึกษาอยู่ในเกณฑ์ดี - ดีมาก และผู้มาจากประเทศที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก จะต้องสอบ IELTS ได้อย่างน้อย 6.0 คะแนนขึ้นไป
มีหลักสูตรให้เลือกมากมายสำหรับผู้ที่ต้องการทำงานด้านสาธารณสุข ตั้งแต่หลักสูตรที่เน้นด้านการดูแลปกป้องเด็ก ไปจนถึงหลักสูตรที่เรียนเกี่ยวกับการดูแลผู้ด้อยโอกาสทั้งทางร่างกายและจิตใจ ระยะเวลาในเรียนของคอร์สนี้จะขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยและระดับการศึกษา ในระดับปริญญาตรีส่วนใหญ่จะใช้เวลาเรียนอย่างน้อย 3-4 ปี ส่วนในระดับปริญญาโทจะใช้เวลาเรียนประมาณ 1 ปี
ผู้สมัครจะต้องมีความสนใจในสาขาวิชานี้อย่างจริงจัง ควบคู่ไปกับการมีทักษะการคิดวิเคราะห์ที่ดี และใบสมัครของคุณจะน่าสนใจยิ่งขึ้น หากคุณเคยเรียนด้านประวัติศาสตร์ จิตวิทยา หรือกฎหมาย มาก่อน
การเรียนต่อต่างประเทศ คุณจะต้องจากบ้านมาไกล อีกทั้งยังเสียเวลาและเงินเป็นจำนวนไม่น้อย คุณควรเลือกสภาพแวดล้อมของสถานศึกษาให้เหมาะแก่การใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และจำไว้ว่าสิ่งที่สำคัญไม่แพ้การศึกษาอย่างตั้งใจคือการใช้ชีวิตนอกห้องเรียน และต้องพิจารณาเรื่องการเงินอย่างรอบคอบด้วย เพราะคุณต้องใช้เวลาอยู่ที่นั่นหลายปี ต้องเสียทั้งค่าธรรมเนียมการศึกษาและค่าใช้จ่ายในชีวิตประวันเป็นจำนวนมาก หากมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ก็ควรมองหามหาวิทยาลัยที่มีทุนสำหรับนักศึกษาขาดแคลนไว้เป็นทางเลือกหนึ่งด้วย
ก่อนตัดสินใจเลือกมหาวิทยาลัยนอกจากพิจารณาหลักสูตรการเรียนให้ตรงกับความสนใจแล้ว คุณยังต้องคำนึงถึงเรื่องประสบการณ์ในการฝึกปฏิบัติงานจริงด้วย คุณควรเลือกสถาบันการศึกษาที่มีความสัมพันธ์อันดีกับหน่วยงานด้านสาธารณสุขในชุมชน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการหาที่ฝึกงานในระหว่างเรียน และเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการทำงานในอนาคต
มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่กำหนดเกณฑ์การรับสมัครไว้ว่า ผู้สมัครในระดับปริญญาตรีจะต้องมีผลการเรียนระดับ A-level ขึ้นไป และผู้สมัครในระดับปริญญาโทจะต้องมีผลการเรียนระดับ 2:1 ขึ้นไป ก่อนยื่นใบสมัครอย่าลืมตรวจสอบให้แน่ใจว่า คุณสมบัติของคุณผ่านเกณฑ์เหล่านี้