ชีวิตในการเรียนมหาวิทยาลัยในอเมริกานั้นแตกต่างกันไปเพราะมหาลัยแต่ละแห่งก็มีวิธีการของตนเองสำหรับนักเรียนต่างชาติที่มีโอกาสไปเรียนต่อในอเมริกานั้น อาจยังไม่คุ้นเคยกับระบบการศึกษาของอเมริกามากนัก ไหนจะคำศัพท์อื่นๆ ที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันอีก
วันนี้ Hotcourses Thailand ขอแนะนำคำศัพท์ที่ต้องรู้หากมีโอกาสได้ไปเรียนต่ออเมริกา รู้ไว้ไม่งงเวลาคุยกับเพื่อนแน่นอน
ระดับการเรียนในระบบการศึกษาอเมริกา
Bachelor’s Degree
ปริญญาตรี ใช้เวลาในการเรียน 4 ปี และได้จากการเรียนในมหาวิทยาลัย
Master’s Degree
ปริญญาโท ใช้เวลาในการเรียน 2-4 ปี (ขึ้นอยู่กับสาขาวิชา) และได้จากการเรียนในมหาวิทยาลัย
PhD
ย่อมาจาก Doctorate of Philosophy หมายถึงการทำวิจัยเชิงวิชาการ และได้จากการเรียนในมหาวิทยาลัย ส่วนระยะเวลาในการเรียนจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวิชาและสถาบัน
Post-graduate
การศึกษา / วิจัยหลังการเรียนจบปริญญาโทหรือเอก
Associate’s Degree
อนุปริญญาที่ใช้เวลาในการเรียนประมาณ 2 ปีและได้จากการเข้าเรียนที่ Community College
Community College
วิทยาลัยชุมชนที่เน้นการสอนในการทำอาชีพ และไม่ได้มีสภาพแวดล้อมหรือสังคมเหมือนมหาวิทยาลัย
College/University
วิทยาลัย / มหาวิทยาลัย คือ สถาบันการศึกษาสำหรับการเรียนในระดับปริญญาตรีเป็นต้นไป
ภาคเรียนในระบบการศึกษาอเมริกา
ภาคเรียน หรือ เทอมในอเมริกาจะมี 3 แบบ โดยจะใช้ฤดูกาลในการแบ่ง
Quarter
4 ภาคเรียน (เทอม) ประกอบไปด้วย Fall, Winter, Spring และ Summer โดยภาค Summer เป็นภาคเสริมและถ้าจะเรียนจะต้องเสียค่าเล่าเรียนเพิ่ม โดยแต่ละเทอมจะยาวประมาณ 10 สัปดาห์
Trimester
3 ภาคเรียนหรือไตรภาค ประกอบด้วย Fall, Winter และ Spring โดยภาค Summer เป็นภาคเสริมและถ้าจะเรียนจะต้องเสียค่าเล่าเรียนเพิ่ม แต่ภาคเรียนยาวประมาณ 15 สัปดาห์
Semester
2 ภาคเรียนหรือทวิภาค ประกอบด้วย Fall และ Spring ส่วนภาค Summer จะมีความยาวแตกต่างกันออกไป โดยเป็นภาคเสริมและถ้าจะเรียนจะต้องเสียค่าเล่าเรียนเพิ่ม ภาคเรียนยาวประมาณ 12-13 สัปดาห์
Winter Break
ปิดเทอมภาคฤดูหนาว จะประมาณ 2-3 สัปดาห์หลังจากจบภาค fall ซึ่งจะเป็นช่วงคริสต์มาสและปีใหม่พอดี
Spring Break
ปิดเทอมภาคฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งจะเป็นการหยุดสั้นๆเพียงหนึ่งสัปดาห์หลังจากจบภาค winter และก่อนที่จะเปิดเทอมใหม่ คือ ภาค spring
คำศัพท์ใช้เรียกบุคคลในวงการศึกษา
Freshman
เด็กใหม่หรือนักเรียนปีหนึ่ง
Sophomore
นักเรียนปีสอง
Junior
นักเรียนปีสาม
Senior
นักเรียนปีสี่ ซึ่งกำลังจะเรียนจบ
Professor
อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิที่สอนวิชาต่างๆในมหาวิทยาลัย
Advisor
อาจารย์ที่มีคุณสมบัติที่ทำหน้าที่ในการให้คำแนะนำนักเรียนโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวิชาเอก, ที่พัก, วิชาที่ควรเรียน รวมถึงปัญหาอื่นๆมากมาย
T.A.
คือ Teaching Assistant – คือผู้ช่วยอาจารย์ซึ่งปกติแล้วจะเป็นนักเรียนที่กำลังเรียนอยู่ในระดับปริญญาโท โดยพวกเขาสามารถจะเป็นผู้ที่สอนในห้องเรียน และคอยช่วยเหลือ professorในระหว่างการเรียนการสอน
คำศัพท์การเรียนอื่นๆ ที่ใช้บ่อย
Major คือ วิชาเอกหรือการศึกษาที่เน้นหนักไปในสาขาใดสาขาหนึ่งในระดับปริญญาตรี นักเรียนจะต้องเลือกเรียนวิชาเอกและเรียนให้จบหลักสูตรฉบับสมบูรณ์เพื่อได้รับปริญญา
Double Major คือ การเรียนสองหลักสูตรไปพร้อมกัน
Minor คือ วิชาโท หรือการเรียนที่เน้นเป็นอันดับสองรองจากวิชาเอก ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เวลาและหน่วยกิตที่น้อยกว่าในการเรียนให้ครบหลักสูตร
Class
เป็นคำที่ใช้เรียกแทนคำว่า ‘lecture’ โดย จะสอนโดย Professor, T.A. รวมถึง guest lecturer
G.P.A. หรือ Grade Point Average คือมาตรฐานการให้เกรดที่ใช้กันในอเมริกา โดยมีเกณฑ์อยู่ระหว่าง 0.0 – 4.0 โดยที่ 4.0 คือเกรดที่สูงที่สุด
E คือเกรดที่ต่ำที่สุด เท่ากับ 0.0ใน G.P.A ซึ่งจะถือว่าเรียนไม่ผ่านและไม่ได้หน่วยกิตใดๆ
Finals, Final หรือ Finals Week มักจะหมายถึงสัปดาห์สุดท้ายของที่จะปิดเทอม ซึ่งเป็นช่วงทีมีการสอบปลายภาครวมถึงการกำหนดส่งเรียงความด้วย
Homecoming
เป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองจากการเรียนจบในเทอมแรก และยังเป็นช่วงเวลาที่ศิษย์เก่าจะกลับมาและหวนรำลึกถึงวันเก่าๆของพวกเขา
Syllabus
เอกสารที่เขียนรายละเอียดเกี่ยวกับงานที่ได้รับมอบหมาย, วันเวลาในการสอบ รวมถึงสิ่งที่จะได้รับจากการเรียน โดยแต่ละวิชาจะต้องมี Syllabus เป็นของตัวเองโดยจะเขียนขึ้นโดย T.A. หรือ Professor ประจำวิชานั้นๆ
Prerequisite คือ วิชาบังคับทั่วไป เป็นวิชาที่นักเรียนทุกคนจะเป็นจะต้องเรียนและผ่านก่อนถึงจะสามารถเข้าเรียนในวิชาเอกต่างๆได้ โดยวิชาบังคับเหล่านี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละมหาวิทยาลัย
Paper/Term Paper
คำเรียกของ ‘essay’
Scantron
กระดาษตรวจข้อสอบสำหรับการสอบ multiple choice
Alma Mater
มหาวิทยาลัยหรือโรงเรียนที่เรียนจบมา
Resume
เอกสารใช้ในการสมัครงาน ที่แสดงถึงการศึกษาและทักษะที่จำเป็น
Social Security Number
หมายเลขประกันสังคม โดยชาวอเมริกันทุกคนจะต้องมีเพื่อใช้ในการเสียภาษี ส่วนนักเรียนต่างชาตินั้น จะสามารถขอหมายเลขนี้ได้ เพื่อใช้ในการทำงาน