
ฮายยย แนะนำตัวกันก่อนนิดนึงนะคะ น้องจินต์คือสาวชาวไทยที่มาเรียนต่อโทที่อังกฤษ แล้วก็ได้อยู่ทำงานต่อ และสร้างครอบครัวที่นี่แบบยาว ๆ ไปเลยค่ะ และด้วยความที่อยู่มาน้านนาน น้องจินต์เลยจะเอาเรื่องราวสนุก ๆ ชีวิตสมัยเรียน วีซ่า การทำงานและการใช้ชีวิตที่นี่มาเม้าท์ให้ทุกคนฟังกัน
ใครอยากอ่านบทความของน้องจินต์ทั้งหมด เซิร์ชคำว่า น้องจินต์ ในช่องหาบทความมุมบนขวาได้เลยจ้า
อยากไปเรียนต่อแล้วย้ายไปอยู่ต่างประเทศ เสร็จแล้วก็ขอสัญชาติ แต่ทำไมอะไร ๆ มันไม่ง่ายอย่างที่อยากให้เป็นนี่ซี้ แต่ว่า..ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้นะคะ เพราะกฎเกณฑ์การขอวีซ่าถาวรหรือขอสัญชาติในต่างประเทศเค้าจะมีค่อนข้างชัดเจน ถ้าเราคุณสมบัติได้ตามกฎ ก็มีทางได้สัญชาติเค้าเลยค่ะ
วันนี้น้องจินต์เลยขอนำเสนอเรื่องการขอวีซ่าหรือสัญชาติโดยเน้นไปที่เส้นทางที่มาจากการเรียนต่อค่ะ
รู้จัก Point-based system
Point-based system คือระบบให้คะแนนแก่ผู้สมัครขอวีซ่าหรือสัญชาติ โดยที่เค้าจะกำหนดว่าคุณสมบัติแบบไหน ได้คะแนนเท่าไหร่ โดยจะต้องทำคะแนนรวมให้ถึงขั้นต่ำที่เค้ากำหนดไว้ถึงสมัครขอวีซ่าหรือสัญชาติได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าการันตีจะได้แน่นอนนะคะ เพราะเจ้าหน้าที่จะพิจารณาเป็นเคสไปค่ะ
คุณสมบัติที่เค้ากำหนดก็แตกต่างกันไป ตัวอย่างก็เช่น
-
อายุ
-
วุฒิการศึกษา
-
ประสบการณ์การทำงาน
-
ระดับภาษาอังกฤษ
ประเทศไหนที่ใช้ระบบนี้บ้าง
ตอนนี้ที่ชัด ๆ เลยก็มีอังกฤษ ออสเตรเลียค่ะ
เรียนโท เรียนเอก ช่วยให้คะแนนสูงขึ้นรึเปล่า
สูงขึ้นแน่นอนค่ะ ขอยกตัวอย่างจากระบบคะแนนของออสเตรเลีย คือ
วุฒิระดับปริญญาเอก 20 คะแนน
ปริญญาตรีและโท 15 คะแนน
อนุปริญญาหรือประกาศนียบัตรจากสถานศึกษาในออสเตรเลียหรือเทียบเท่า 10 คะแนน
ถ้าจบการศึกษาจากสถาบันในออสเตรเลีย (ทั้งปริญญาหรืออนุปริญญา) ได้อีก 5 คะแนน
ส่วนฝั่งประเทศอังกฤษ ก็มีผลเช่นกันค่ะ
การมาทำงานที่นี่ ต้องได้คะแนน 70 คะแนนขึ้นไป โดยจะแบ่งคะแนนเป็นสองแบบ คือ
1. คะแนนหลักจำนวน 50 คะแนน ซึ่งจะดูจากอาชีพ เงินเดือน และระดับภาษาอังกฤษ
2. คะแนนเสริม (Tradeable points) จำนวน 20 คะแนน ซึ่งการเรียนปริญญาเอก จะมีผลกับคะแนนเสริมตัวนี้ค่ะเช่น ถ้าได้งานที่เงินเดือนขั้นต่ำอยู่ที่ £20,480 (และนับแล้วไม่ต่ำกว่า 70-80% ของเงินเดือนโดยเฉลี่ยของอาชีพนี้) จะไม่ได้คะแนนใดๆ แต่ถ้าได้เงินเดือนระดับนี้แล้วจบปริญญาเอกที่เกี่ยวข้องกับสายงานโดยตรง จะได้คะแนนบวกขึ้นมา 10 คะแนนค่ะ
หรือถ้ามีปริญญาเอกในสาขา STEM (Science, Technology, Engineer, Mathematics) ซึ่งเกี่ยวกับเนื้องานที่ได้ทำ ก็จะได้ 20 คะแนนเสริมเลยค่ะ
ระดับผลสอบวัดภาษาอังกฤษมีผลแค่ไหน
มีผลอย่างมากค่ะ เพราะยิ่งเราได้คะแนนวัดระดับภาษา (IELTS) สูง เราก็มีโอกาสได้คะแนนจากระบบ Point-based นี้สูงไปด้วย ขอยกตัวอย่างออสเตรเลียอีกรอบนะคะ
ผลสอบ IELTS 8 ขึ้นไป เราจะได้ 20 คะแนน
ผลสอบ IELTS 7 ขึ้นไป เราจะได้ 10 คะแนน
ผลสอบ IELTS ต่ำกว่า 7 จะได้ 0 คะแนนค่ะ
ของที่อังกฤษเอง ผลสอบการวัดภาษาก็ต้องเข้าขั้นต่ำของเค้าถึงจะผ่านและได้ 10 คะแนนค่ะ โดยทางอังกฤษจะพิจารณาเป็นรายคนไป
อายุมีผลยังไงบ้าง
ที่ออสเตรเลียจะมีผลกับคะแนนเช่นกันค่ะ เค้าแบ่งกันตามอายุตามนี้เลย
อายุ 18-24 ได้ 25 คะแนน
อายุ 25-32 ได้ 30 คะแนน
อายุ 33-39 ได้ 25 คะแนน
อายุ 40-44 ได้ 15 คะแนน
อายุ 45ขึ้นไป ได้ 0 คะแนน
แล้วประสบการณ์การทำงานล่ะ
ที่ออสเตรเลีย ค่อนข้างเปิดกว้างและนับรวมเป็นผลคะแนนค่ะ โดยจะแบ่งประเภทเป็นประสบการณ์การทำงานในหรือนอกออสเตรเลีย และแต่ละประเภทก็จะได้คะแนนต่างกันไป
เช่น ถ้าทำงานในออสเตรเลียในสาขาที่เป็นที่ต้องการ เป็นเวลา…
1 ปี จะได้ 5 คะแนน
3 ปี จะได้ 10 คะแนน
5 ปี จะได้ 15 คะแนน
แต่ถ้าทำงานนอกประเทศออสเตรเลีย แต่เป็นสาขาที่ต้องการ ทางออสเตรเลียจะนับเป็น
3 ปี จะได้ 5 คะแนน
5 ปี จะได้ 10 คะแนน
8 ปี จะได้ 15 คะแนน
พูดง่ายๆก็คือ ถ้ามีประสบการณ์การทำงานในประเทศออสเตรเลียมาก่อน ก็จะได้เปรียบค่ะ
ที่สรุปมาข้างบนนี้ เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ในทั้งสองประเทศก็ยังดูหลายๆอย่างประกอบกัน แต่ยังไงก็ลองดูกันเป็นตัวอย่างคร่าวๆนะคะ
บทความย้ายประเทศ โดยการเรียนโท
เครดิต https://workpermit.com/immigration/australia/australian-skilled-immigration-points-requirements
https://assets.publishing.service.gov.uk/government/uploads/system/uploads/attachment_data/file/949207/6.6991_HO_PBIS_Employers_Guide.pdf