เรียน UK หรือ US ดี
>> ทุนดีๆ มีให้เลือกเพียบทั้งใน UK และ US
>> ค้นหาคอร์สเรียนต่ออังกฤษ
>> ค้นหาคอร์สเรียนต่ออเมริกา
ช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมาจำนวนนักศึกษาไทยที่ไปเรียนต่อต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันก็มีทุนการศึกษาและโครงการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน จุดหมายปลายทางยอดนิยมที่นักศึกษานิยมไปเรียนต่อได้แก่ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย และแคนาดา บทความนี้จึงขอหยิบยกสองประเทศยักษ์ใหญ่ อย่างสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร มาเปรียบเทียบเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ สำหรับคนที่กำลังมองหาช่องทางไปเรียนต่อแต่ยังไม่รู้จะเลือกไปที่ไหนดี มาเริ่มกันที่สถิติต่างๆ ที่น่าสนใจกันเลยดีกว่า
สถิติที่น่าสนใจ:
จำนวนนักศึกษาต่างชาติที่มาเรียนต่อในอเมริกาเพิ่มขึ้นทุกปีอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และจากการสำรวจของ The Institute for International Education พบว่าในปี 2012 ในอเมริกามีนักศึกษาต่างชาติมากถึง 723,000 คน ส่วนเมืองที่นักศึกษาต่างชาตินิยมมาเรียนต่อมากที่สุดได้แก่ แคลิฟอร์เนีย (California), อิลลินอยส์ (Illinois), แมสซาชูเซต (Massachusetts), นิวยอร์ก (New York) และเท็กซัส (Texas)
ส่วนสหราชอาณาจักรนั้น มีจำนวนนักศึกษาต่างชาติราว 428,225 คน (ข้อมูลปี 2009-2010) ซึ่งถึงแม้จะน้อยกว่าในอเมริกา แต่เมื่อเทียบเป็นสัดส่วนแล้ว สหราชอาณาจักรถือว่ามีนักศึกษาต่างชาติอยู่ 17% ของนักศึกษาทั้งหมด ในขณะที่อเมริกามีนักศึกษาต่างชาติอยู่ประมาณ 3% สำหรับเมืองที่นักศึกษาต่างชาตินิยมไปเรียนต่อที่สหราชอาณาจักร ได้แก่ อิงแลนด์ (England), สก็อตแลนด์ (Scotland), เวลส์ (Wales) และไอร์แลนด์เหนือ (Northern Ireland)
สถาบันการศึกษายอดนิยม:
สหราชอาณาจักร |
สหรัฐอเมริกา |
University of Cambridge |
Massachusetts Institute of Technology |
University College London |
Harvard University |
University of Oxford |
Yale University |
Imperial College London |
University of Chicago |
University of Edinburgh |
Princeton University |
King's College London |
California Institute of Technology |
University of Bristol |
Columbia University |
การเลือกโปรแกรมเรียน:
แม้ว่าสาขาวิชาอย่าง MBA, MBBS หรือ Masters in Engineering จะเป็นสาขาวิชาที่นักศึกษาต่างชาติส่วนใหญ่นิยมมาเรียนต่อที่อังกฤษและอเมริกา แต่ถ้าศึกษาให้ดีแล้วคุณจะพบว่ามีหลักสูตรน่าสนใจอีกมากมายที่เปิดสอนในต่างประเทศ เทรนด์ของโลกทุกวันนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางกำลังเป็นที่ต้องการตัวมากขึ้นในตลาดแรงงาน คอร์สอย่างเช่น การลดใช้ปริมาณคาร์บอน การอนุรักษ์วัตถุโบราณ การดูแลป่าไม้เขตร้อน ฯลฯ จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย ที่สำคัญคือคุณควรจะเลือกเรียนในสาขาวิชาที่ตรงกับความสนใจของตัวเอง และสามารถนำไปต่อยอดใช้ประโยชน์ในการทำงานได้จริง ไหนๆ ก็เสียเงินและเวลามาแล้วควรจะพิจารณาให้รอบคอบ เพื่อการเลือกที่เกิดประโยชน์สูงสุดกับอนาคตอย่างแท้จริง
สำหรับการเลือกสถานที่เรียนนั้น ข้อมูลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลกโดยหน่วยงานต่างๆ ก็ถือว่าเป็นตัวช่วยที่ดีในการคัดกรอง แต่สิ่งหนึ่งที่อยากให้พิจารณาประกอบกันไปก็คือ การจัดอันดับที่เฉพาะเจาะจงไปในสาขาวิชาที่คุณเล็งไว้ ตัวอย่างเช่น Georgetown University เป็นมหาวิทยาลัยที่ในภาพรวมอยู่อันดับสูงกว่า Indiana University แต่ถ้าเปรียบเทียบกันเฉพาะสาขาวิชา Business แล้ว the Kelley Business School at Indiana University กลับมีอันดับที่สูงกว่า Georgetown's McDonough School of Business อย่างนี้เป็นต้น
ค่าใช้จ่าย:
ในส่วนของค่าธรรมเนียมการศึกษา โดยเฉลี่ยแล้วค่าใช้จ่ายที่อังกฤษจะค่อนข้างถูกกว่าอเมริกา และมีทุนการศึกษาสำหรับนักศึกษาต่างชาติเยอะกว่า แต่ถ้าเป็นค่าครองชีพโดยรวมๆ ที่อเมริกาจะประหยัดกว่าอังกฤษอยู่พอสมควร และสำหรับการทำงานพิเศษนอกเวลาเรียนนั้น ทั้งสองประเทศอนุญาตในนักศึกษาต่างชาติทำงานได้สัปดาห์ละ 20 ชั่วโมงเหมือนกัน
ชีวิตนักศึกษาในสหราชอาณาจักร:
อังกฤษขึ้นชื่อในเรื่องฝนตกบ่อยมาก แม้จะตกไม่หนักมากแต่ก็ตกถี่ บรรยากาศจึงค่อนข้างอึมครึมมืดครึ้มเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้าใครชอบก็สามารถมองได้ว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเมือง ส่วนในด้านของผู้คนโดยทั่วไปชาวอังกฤษก็เป็นมิตรกับชาวต่างชาติดี บางคนหน้าตาอาจจะดูหยิ่งๆ ไปบ้างตามสไตล์ผู้ดีอังกฤษ แต่หากได้ลองคุยดูหลายคนก็อัธยาศัยดีทีเดียว ถ้าอยู่ในเมืองใหญ่อย่างเช่น ลอนดอน ก็จะได้เจอกับเพื่อนนักเรียนหลากหลายเชื้อชาติ ไม่ต้องกลัวว่าจะปรับตัวเข้ากับคนอื่นไม่ได้ เพราะใครๆ ก็อยากจะทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่กันทั้งนั้น ด้านการเดินทางก็สะดวกสบาย ปลอดภัย และตรงเวลา ขนส่งมวลชนยอดนิยมสำหรับนักศึกษาก็ได้แก่ รถไฟใต้ดิน Tube ที่ให้บริการถึงประมาณเที่ยงคืน และรถบัสที่มีบางสายให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ก็ยังมีบัตรโดยสารอย่างเช่น Oyster card ที่ช่วยให้สะดวกและประหยัดมากขึ้นไปอีก
สำหรับคนชอบเที่ยว ถ้าชอบบรรยากาศแบบเมืองเก่า สถาปัตยกรรมโบราณ ที่ดูขลังๆ หน่อย ก็จะต้องถูกใจดินแดนสหราชอาณาจักรอย่างแน่นอน นอกจากนี้ก็ยังสามารถตระเวนไปเที่ยวได้ทั่วทั้งอังกฤษ สก็อตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ โดยไม่ต้องขอวีซ่าเพิ่มเติม หรือถ้าอยากจะโฉบไปแถวยุโรปที่อยู่ไม่ห่างกันมาก บางประเทศสามารถเดินทางไปได้ด้วยรถไฟในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ต้องขอวีซ่าเชงเก้น (Schengen Visa) เพิ่มเติม
ชีวิตนักศึกษาในสหรัฐอเมริกา:
อเมริกาเป็นประเทศที่มีอาณาเขตกว้างขวางมาก หากชอบภูมิประเทศแบบไหนเป็นพิเศษก็สามารถเลือกไปเรียนต่อที่รัฐนั้นๆ ได้ตามใจชอบ ส่วนด้านมนุษสัมพันธ์ของผู้คนนั้นในอเมริกาไม่มีใครเป็นคนแปลกหน้า โดยทั่วไปชาวอเมริกันมักจะมีนิสัยสบายๆ มีท่าทีที่เป็นมิตรและเปิดกว้าง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีผู้คนหลากหลายจากทั่วทุกมุมโลกมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่เป็นระยะเวลานานแล้วนั่นเอง สำหรับการเดินทางในอเมริกาก็สะดวกสบายไม่แพ้อังกฤษเช่นกัน ถ้าเป็นเมืองใหญ่อย่างเช่น นิวยอร์ค จะมีทั้งรถไฟใต้ดินและรถบัสให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ตามเมืองเล็กๆ ส่วนใหญ่ก็จะมีรถบัส แต่บางเมืองอาจต้องรอรถนานหน่อย นักศึกษาตามเมืองชนบทจึงมักมีจักรยานเป็นยานพาหนะประจำตัว
หากใครเป็นคนชอบเที่ยวก็น่าจะถูกใจอเมริกาไม่น้อยทีเดียว ด้วยความที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล อเมริกาจึงเป็นดินแดนที่รวมภูมิประเทศอันหลากหลายเอาไว้อย่างครบครัน มีทั้งป่าไม้ ทะเลทราย ชายหาดสำหรับโต้คลื่น ฯลฯ มีแลนด์มาร์คเจ๋งๆ ให้แวะไปเช็คอินเพียบ ใครอยากเรียนไปแบคแพคไปด้วยรับรองว่าไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน