
อยากหายจากโรคเสพติดน้ำตาล! ทำไงดี?
ถึงแม้ว่าเราจะทำสัญญากับตัวเองแล้วว่าจะไม่ทานน้ำตาล แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังคิดถึงน้ำตาลหรือของหวานตลอดเวลา และเมื่อใดก็ตามที่เราหลุด และเผลอทานน้ำตาล เราก็ได้แต่พูดกับตัวเองว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวพรุ่งนี้เอาใหม่”
ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ วันที่เรางดทานน้ำตาลหรือของหวานก็ไม่มีวันมาถึงเสียที กว่าจะถึงวันนั้นเราก็อาจจะอ้วนหรือป่วยไปแล้วก็ได้
แล้วทำไมเราถึงงดกินมันไม่ได้เสียทีนะ?
พลังของคำสัญญาไม่ได้ผลอีกต่อไป
เราได้ตั้งมั่นกับตัวเองว่าจะงดกินน้ำตาล แต่ไม่รู้ด้วยเหตุผลใดเราก็ยังคงกินมันอยู่ ปัญหาก็คือเราไม่ได้เคยทำตามคำสัญญาที่เราเคยให้ไว จึงส่งผลให้การสัญญาใดๆก็ตามของเราไม่ได้ผลเลยในระยะยาว ดังนั้นแรงจูงใจที่เราตั้งไว้ต้องมีพลังมากพอที่จะทำให้เราทำตามและงดกินน้ำตาลได้
ใครเป็นคนบอกให้เรางดกินน้ำตาล?
“ฉันจะงดกินน้ำตาลเพราะ...........บอกให้ฉันทำ” เราเติมคำในช่องว่างว่าอะไร??
“ครอบครัวของฉันบอกให้ฉันงดกินน้ำตาล เพราะฉันมักจะอารมณ์ขึ้นๆลงๆเสมอ”
“หนังสือโภชนาการบอกว่าฉันควรจะงดกินน้ำตาลเพราะว่ามันจะทำให้น้ำหนักลดเร็วกว่าวิธีอื่น”
“หมอบอกว่าฉันควรจะงดกินน้ำตาลเพราะว่าฉันเป็นเบาหวาน และมันอาจจะทำให้ฉันตายได้ถ้าฉันไม่รักษาระดับน้ำตาลให้ดี”
จะเห็นว่าการงดกินน้ำตาลของเรา มาจากการพูดหรือความต้องการของผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ก็ล้วนทำให้เราเลิกล้มความพยายามได้เร็วกว่าเป็นผลจากความตั้งใจของเราเอง
แรงจูงใจต้องมาจากตัวเราเอง
เพราะแรงขับเคลื่อนที่มาจากตัวเราเอง จะทำให้เราตั้งใจมากกว่าและประสบความสำเร็จได้มากกว่า
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีกรณีที่ความตั้งใจของเราไม่ได้ผล ก็เพราะเรายังไม่ได้ทำให้ตัวเองเห็นผลจากการทำตามแรงจูงใจนั้นๆ หรือคิดว่าการทำเช่นนั้นจะมีผลหรือส่งผลอะไรหรือต่อใคร เช่น
"ฉันจะงดกินน้ำตาลเพราะมันทำให้ฉันอารมณ์ไม่ดีและทำร้ายคนที่ฉันรัก"
"ฉันจะงดกินน้ำตาลเพราะฉันอยากที่จะอยู่นานกว่านี้ และต้องการจะมีสุขภาพที่ดี เนื่องจากการเป็นเบาหวานจะทำให้ฉันตาย"
ขั้นตอนลดน้ำตาลอย่างได้ผล
ขั้นที่ 1 ต้องไม่กินน้ำตาล ไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม
ช่วงแรกเราจะเกิดอาการอยากน้ำตาลอยู่ตลอด ดังนั้นเราก็ควรจะต้องงดน้ำตาลทุกชนิด ยกเว้นผลไม้, น้ำผึ้ง, หญ้าหวานและเมเปิลไซรัป
ควรงดอาหารประเภทพาสต้า, ข้าวและขนมปัง เพราะอาหารแป้งพวกนี้จะแปรสภาพกลายเป็นน้ำตาย และทำให้เราเกิดความอยากน้ำตาลเหมือนเดิม อีกทั้งถ้าเราทานอาหารพวกนี้ในมื้อเที่ยง มันก็จะทำให้เราง่วงได้มากกว่าปกติ
นอกจากนี้ควรสร้างให้สภาพแวดล้อมรอบตัวเราสนับสนุนการกระทำของเราด้วย โดยการเอาอาหารหรืออะไรก็ตามที่เราห้ามกินออกไปจากบ้านให้หมด หรือถ้าออกไปทานอาหารข้างนอก ก็ควรหลีกเลี่ยงและเข้าร้านอาหารประเภทเพื่อสุขภาพแทน
แล้วเราพร้อมที่จะขั้นตอนถัดไปเมื่อไหร่? ก็เมื่อใดที่เราเริ่มรู้สึกว่าสามารถควบคุมตัวเองเกี่ยวกับอาหารที่จะทานเข้าไปและควบคุมความอยากน้ำตาลได้แล้ว เมื่อนั้นเราก็พร้อมที่จะไปยังขั้นตอนถัดไปแล้วละ
ขั้นที่ 2 มีความตั้งใจชัดเจน และต้องทำให้ได้
เราควรจะเขียนเป้าหมายและแนวปฏิบัติของตัวเองออกมาให้ชัดเจนว่าอะไรห้ามกิน อะไรกินได้ และอะไรที่ห้ามทำ รวมถึงรู้ข้อมูลของสิ่งเหล่านั้น เช่น
- สิ่งให้ความหวานแทนน้ำตาล เช่น xylitol, aspartame, saccharin, stevia, sucralose
- ผักและผลไม้ แบบไหนทานได้ หรือผักแบบไหนควรเลี่ยง?
ซึ่งเมื่อเรามีความตั้งใจและความรู้อย่างชัดเจนเช่นนี้แล้ว ก็จะทำให้ความตั้งใจของเราชัดเจนขึ้น และมีเหตุผลขึ้นว่าทำไมบางสิ่งทานได้ บางสิ่งทานไม่ได้ ถ้าทานแล้วจะมีผลอย่างไรต่อร่างกาย ซึ่งมันจะเป็นตัวควบคุมการกระทำและความอยากน้ำตาลของเราไปได้โดยปริยาย
ขออวยพรให้ทุกคนที่คลั่งน้ำตาลจงโชคดีกับความพยายามค่ะ