
ชื่อ : มิ่งหทัย เกียรติเทพวรรณ
ชื่อเล่น : มีมี่
จบการศึกษาจาก : นิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หลักสูตรที่เรียน : Management
ระดับการศึกษา: MSc
สถานศึกษา : University of Southampton
----------------------------------------
ทำไมถึงเลือกอังกฤษเป็นจุดหมายด้านการเรียนต่อ?
มีหลายเหตุผลค่ะ อย่างแรกที่ทำให้มี่เลือกมาเรียนต่อที่อังกฤษ คือหลักสูตรปริญญาโทของที่นี่ ซึ่งเราสามารถจบได้ภายในปีเดียว ต่างจากประเทศอื่นๆที่ส่วนมากจะกินเวลาประมาณ 2 ปี ส่วนอีกเหตุผล เพราะมี่ชอบที่อังกฤษเป็นประเทศที่ดูอบอุ่น สงบ และน่าอยู่ มีสถาปัตยกรรมและสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ จึงเป็นประเทศที่น่าสนใจทั้งในด้านการมาเรียนต่อและมาใช้ชีวิตอยู่ และเหตุผลสุดท้ายคือ โดยส่วนตัวแล้ว มี่ชอบสำเนียงแบบชาวอังกฤษค่ะ ฮ่าๆๆ
ทำไมคุณถึงสมัครเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยนี้?
ตอนเลือกตัดสินใจเรียนที่ U of Southampton มี่ดูจากอันดับของมหาวิทยาลัยใน UK Ranking และวิชาเรียนในหลักสูตรเป็นสำคัญก่อนค่ะ ว่าตรงกับที่เราอยากเรียนรึเปล่า นอกจากนั้น เหตุผลที่มี่เลือกมาเรียนที่เมือง Southampton เพราะมี่ไม่ค่อยชอบความพลุกพล่านของเมืองธุรกิจใหญ่ๆอย่าง London หรือ Manchester เท่าไหร่ ซึ่งจากการหาดูรูปและข้อมูลก่อนที่จะตัดสินใจเลือกมาเรียน มี่ว่าเมือง Soton ดูเป็นเมืองที่ออกแนวชนบทผสมความเป็นเมืองสมัยใหม่ดี มีต้นไม้เยอะและอากาศดีมาก ชีวิตคนที่นี่ก็ดูชิลล์ๆสบายๆ ไม่รีบร้อน ผู้คนน่ารักอัธยาศัยดีตามแบบเมืองชนบท ทำให้ปลอดภัยไม่ค่อยมีอาชญากรรมเท่าไหร่ แต่ Soton ก็ไม่ได้ชนบทสุดขีดแบบอยู่กลางป่ากลางดงนะ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบเลย ทั้งห้างใหญ่ๆเหมือนบ้านเรา โรงหนัง ร้านอาหาร และซุปเปอร์มาร์เก็ต ทำให้อยู่สบายเลยค่ะ (ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลเยอะเลยที่ช่วยให้พ่อแม่สบายใจ ไม่ค่อยเป็นห่วงที่ปล่อยให้มาเรียนต่อเอง) การเดินทางก็ค่อนข้างสะดวกค่ะ มีทั้งสถานีรถไฟและสนามบินของตัวเอง โดยห่างกับ London แค่ชั่วโมงครึ่งถ้านั่งรถไฟ ทำให้ง่ายและสะดวกในการนั่งรถไฟไปเที่ยวเมืองอื่นๆและบินไปเที่ยวยุโรปได้โดยตรง และที่สำคัญอีกอย่างคือ เพราะเป็นเมืองทางใต้ อากาศที่ Soton ก็เลยจะไม่หนาวมาก เย็นๆสบายๆ ไม่หนาวจัดเข้ากระดูกจนไม่อยากออกจากบ้านอย่างเมืองทางเหนือ
ทำไมคุณเรียนสาขานี้?
มี่เลือกเรียนต่อโทสาขา Management เพื่อเพิ่มความรู้ของตัวเองในด้านธุรกิจค่ะ เพราะหลังจากเรียนจบตรีและได้ลองทำงานมาแล้วประมาณปีนึง มี่ว่าทักษะเรื่องการบริหารคนและจัดการองค์กร รวมไปถึงความรู้ด้านการวางกลยุทธ์และการตลาด เป็นเรื่องที่จำเป็นและมีประโยชน์มากในการทำงานปัจจุบันนี้นะ รวมถึงยังเป็นทักษะที่เราสามารถเอามาประยุกต์ใช้ได้ในแทบทุกบริษัทและทุกสถานการณ์ด้วยค่ะ
สิ่งที่ดีที่สุดเกี่ยวกับการเรียนในหลักสูตรของคุณ
สิ่งที่มี่ชอบที่สุดในการมาเรียนสาขา Management ที่นี่ น่าจะเป็นเรื่องที่ได้เรียนรู้และศึกษา Case Study ของธุรกิจที่น่าสนใจจากนานาชาติค่ะ เพราะมันทำให้เราได้ฝึกมองโลกจากในหลายๆมุม ได้ลองศึกษาวิธีการทำธุรกิจของประเทศต่างๆ ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตการทำงานจริง รวมถึงยังฝึกให้เราคิดและทำงานอย่างเป็นระบบเป็นขั้นเป็นตอนด้วย
การเรียนการสอนที่นี่นับว่าแตกต่างจากประเทศไทยหรือไม่?
สำหรับตัวมี่เอง มี่ว่าต่างมากพอสมควรเลย เพราะการเรียนที่นี่ นักศึกษาต้องมีความกระตือรือร้นและมีวินัยในตัวเองพอสมควร ต้องขยันและขวนขวายอ่านให้มากด้วยตัวเอง เพราะคาบเรียนมีไม่มาก วิชานึงอาจจะมีการเรียนเพียง 3 ครั้งเท่านั้นก็ถือว่าจบคอร์สการสอนแล้ว โดยอาจารย์จะสอนเพียงบริบทคร่าวๆว่าเนื้อหาที่นักศึกษาต้องรู้นั้นมีอะไรบ้าง นอกจากนั้น จะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของตัวเราเองทั้งหมด ที่จะต้องบริหารเวลาให้เป็นและใช้เวลานอกคาบเรียนไปขวนขวายหาหนังสือหรืองานเขียนบทความต่างๆมาอ่านเอาเอง เพื่อเอามาวิเคราะห์และเขียนงานส่งหรือนำมาใช้สอบ รวมถึงการจะทำคะแนนได้ดี ก็ขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์งานเขียนหลายๆชิ้นและหนังสือหลายๆเล่มมาวิจารณ์และเปรียบเทียบกัน เพราะแม้คุณจะรู้ข้อมูลทั้งหมดนั้น แต่หากตอบคำถามหรือข้อสอบไปโดยเขียนบรรยายสิ่งที่คุณรู้เฉยๆ ไม่มีการวิเคราะห์ ไม่มีการเปรียบเทียบด้วยความเห็นของตัวคุณเอง ต่อให้จำได้เยอะแค่ไหนและเขียนตอบไปเยอะแค่ไหน คะแนนก็อาจจะออกมาไม่ดี เพราะอาจารย์ที่นี่เค้าเน้นให้เราคิดวิเคราะห์ให้เค้าดู มากกว่าที่จะเน้นการท่องจำ
คุณพักอาศัยอยู่ที่ใด และสาธารณูปโภคของมหาวิทยาลัยคุณเป็นอย่างไร ?
มี่พักในหอพักของมหาวิทยาลัยค่ะ เพราะมี่ว่ามันใกล้ ปลอดภัย และสะดวกสบายดี มีทุกอย่างให้ครบเลย ทั้งเตียง โต๊ะเขียนหนังสือ ตู้เสื้อผ้า โทรศัพท์ อินเตอร์เน็ต ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องซัก-อบผ้า และถ้ามีอุปกรณ์อะไรเสีย เช่น ไฟหรือก๊อกน้ำ เราก็สามารถแจ้งให้คนดูแลหอทราบ แล้วเค้าก็จะส่งคนมาซ่อมให้เราที่ห้องทันทีเลยโดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่มค่ะ และในค่าหอที่จ่ายไป ทางมหาวิทยาลัยเค้าก็จะรวมค่ารถโดยสารของมหาวิทยาลัยไว้ให้ด้วยเลย ซึ่งรถนี้จะมีมาทุกๆประมาณ 10 นาที วิ่งจากหอ ไปที่มหาวิทยาลัย และไปตามจุดต่างๆของเมือง Soton ด้วย โดยมีตลอดสัปดาห์ ทำให้สะดวกสบายมากๆเวลาเดินทางไปเรียนและไปเข้าเมือง นอกจากนี้ หอที่นี่ก็ค่อนข้างเสรีนะ ไม่มีจำกัดเวลาเข้าออก เราสามารถกลับดึกแค่ไหนก็ได้ มี่เลยรู้สึกว่ามีเสรีภาพไม่ต่างกับไปเช่าหอข้างนอกเท่าไหร่
คุณจ่ายค่าเล่าเรียนของคุณอย่างไร?
พ่อกับแม่ออกเงินค่าเล่าเรียนและค่ากินอยู่ให้ค่ะ เป็นโชคดีที่ปีนี้ค่าเงินที่อังกฤษกำลังตก ทำให้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้หน่อย แต่ต้องยอมรับว่าค่าครองชีพที่นี่สูงจริงๆ อาหารมื้อนึงอย่างแซนด์วิชธรรมด๊าธรรมดาซึ่งบ้านเราขายประมาณ 15 - 20 บาท ที่นี่อย่างต่ำก็ราคาราวๆ 1.50 - 2 ปอนด์ขึ้นไป (ปอนด์ละ 50 บาท) ราคาสูงกว่ากันเกินเท่าตัวเลย ส่วนถ้าเป็นพวกฟาสต์ฟู้ดหรืออาหารเป็นจานๆ ก็จะประมาณมื้อละ 3 – 5 ปอนด์เป็นปกติ ทำให้ช่วงแรกๆที่มา มี่ไม่กล้ากินอะไรเลยค่ะ เพราะรู้สึกว่าถ้าซื้อที่ไทยราคานี้คงได้กินของหรูหราไฮโซ!
กิจกรรมของมหาวิทยาลัยมีอะไรบ้าง?
ชีวิตในมหาวิทยาลัยก็โอเคดีนะคะ ในแคมปัสจะมีร้านขายของและร้านอาหารอยู่หลากหลายให้เลือกกินได้ ห้องสมุดที่นี่ก็ค่อนข้างใหญ่ มีหนังสือและบทความเยอะค่ะ ซึ่งช่วยได้มากในการใช้เขียนงานและทำ Dissertation ส่ง รวมถึงมีตึกฟิตเนสและสระว่ายน้ำสำหรับคนที่ชอบเล่นกีฬา นอกจากนี้ ทางมหาวิทยาลัยก็จะมีการจัดกิจกรรมน่าสนใจอยู่บ่อยๆ เช่น จัดทริปพานักศึกษาไปเที่ยวที่เมืองอื่นๆ ซึ่งราคาจะถูกกว่าการที่เราเสียเงินไปเองเยอะ และทำให้เราได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ๆด้วย หรือมีการจัดเต๊นท์ Job Fair ซึ่งเปิดโอกาสให้เราได้พูดคุยกับคนจากบริษัทต่างๆของอังกฤษซึ่งกำลังรับสมัครพนักงาน และสามารถยื่นใบสมัครไว้ได้เลย
ความท้าทายที่มากที่สุดที่คุณเผชิญหน้าในช่วงปีแรกคืออะไร?
จนถึงตอนนี้ มี่อยู่ที่อังกฤษมาได้ประมาณ 9 เดือนแล้ว มี่ว่าในช่วงแรก การปรับตัวเรื่องภาษาเป็นเรื่องที่ยากที่สุด ช่วงแรกไม่ว่าจะฟังหรือพูด มี่รู้สึกเหมือนจะไม่สามารถสื่อสารกับผู้คนที่นี่ได้เลย เราก็ไม่เข้าใจที่เค้าพูด เค้าก็ไม่เข้าใจที่เราพูด ทุกอย่างดูยากและท้อแท้ไปหมด แต่พอได้ฝึกภาษาและเรียนไปเรื่อยๆ หลังผ่าน 3 เดือนแรกไปแล้ว มี่รู้สึกได้นะว่าทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษของเรามันพัฒนาขึ้น คิดคำที่จะใช้ในการโต้ตอบได้ไวขึ้น การใช้ชีวิตและการเรียนก็จะพลอยง่ายขึ้นไปด้วย ไม่ต้องดิ้นรนเหมือนช่วงแรกๆ เพราะเราเริ่มคุ้นชินกับมันแล้ว ความท้าทายอีกอย่าง คงจะเป็นเรื่องของการเหยียดผิว เพราะแม้จะมีคนอังกฤษและยุโรปไม่มากนักที่เหยียดผิวและดูถูกคนเอเชีย แต่ก็มีมาให้เจออยู่เป็นประจำจริงๆ ซึ่งทำให้เรารู้สึกแย่ได้เหมือนกัน วิธีรับมือกับคนพวกนี้ ถ้าไม่ได้รู้จักกัน แค่เดินผ่านตามถนนแล้วโดนพูดจาไม่ดีใส่ มี่ว่าก็อย่าไปสนใจ เพราะมันผิดที่ตัวเค้าและความคิดของเค้า ไม่ได้ผิดที่ตัวเรา แต่ถ้าคนพวกนี้เป็นคนในคลาสที่เราเรียนด้วย และเป็นคนที่เราต้องทำงานกลุ่มด้วย แบบนี้สำคัญที่เราต้องพิสูจน์ความสามารถของเราให้เค้าเห็น เพราะเค้าดูถูกเราเพราะคิดว่าประเทศเราไม่พัฒนาและสู้ประเทศเค้าไม่ได้ ทั้งๆที่มี่ว่าจริงๆแล้วความคิดของคนเอเชียในคลาส บางครั้งอาจดีกว่าของคน Native ด้วยซ้ำ แต่ด้วยธรรมชาติของเราที่มักจะไม่กล้าพูดและแสดงความคิดเห็นของเราออกไป ทำให้พวกเค้าคิดว่าเราไม่รู้เรื่องและทำไม่ได้ จากประสบการณ์ตรงของมี่ ถ้าเราทำให้เค้าเห็นว่าเราก็ทำได้เหมือนเค้าหรืออาจจะดีกว่าเค้าด้วยซ้ำ เค้าก็จะไม่สามารถดูถูกเราได้ และเงียบไปเอง ยังไงก็ตาม คนพวกนี้ไม่ได้มีอยู่เยอะหรอก เพื่อนต่างชาติส่วนมากที่รู้จักก็เป็นคนดีและนิสัยน่ารักนะ
ในมหาวิทยาลัยของคุณมีคนไทยเรียนอยู่เยอะหรือไม่ แล้วสังคมเป็นอย่างไรบ้าง?
สำหรับที่ Soton มีคนไทยอยู่เยอะพอสมควรเลยค่ะ อย่างปีการศึกษา 2011/2012 ที่มี่มาเรียนนี่ มีคนไทยทั้งรุ่นจากคณะต่างๆทั้งตรี โท เอกประมาณ 100 กว่าคน ก็อบอุ่น สนุกสนานเฮฮาดี มีการจัดกิจกรรมรวมตัวกัน นิมนต์พระมาตักบาตรในวันสำคัญทางศาสนา หรือนัดทานข้าวสังสรรค์กันค่อนข้างบ่อย สำหรับคนที่กลัวมาแล้วจะเหงาหรือ Homesick จึงไม่ต้องเป็นห่วงเลย หรือสำหรับคนที่กลัวว่า มีคนไทยเยอะแล้วจะทำให้ไม่ได้ฝึกพูดภาษาอังกฤษ มี่ว่ามันไม่เกี่ยวนะว่าเมืองที่เราอยู่มีคนไทยเยอะแค่ไหน เพราะยังไงในมหาวิทยาลัยนั้น ก็จะมีชนชาติอื่นจากทั่วโลกรวมอยู่ด้วยแน่ๆ คนไทยไม่เป็นประชากรส่วนมากแน่นอนค่ะ เพราะทางมหาวิทยาลัยเองเค้าก็ไม่จัดการรับนักศึกษาให้เป็นสัดส่วนแบบนั้นอยู่แล้ว มี่ว่ามันสำคัญที่ตัวเราเองมากกว่า ว่าจะเอาแต่ขลุกตัวอยู่กับคนไทยรึเปล่า สำคัญตรงที่เราต้องเปิดกว้างและกล้าที่จะเข้าไปคุยทำความรู้จักกับเพื่อนต่างชาติค่ะ และจุดนี้แหละที่มี่ว่ามีส่วนมากเลยในการช่วยให้เราได้ฝึกและพัฒนาทักษะการพูดและฟังภาษาอังกฤษ
คุณประทับใจอะไรในอังกฤษ?
ถ้าเฉพาะเจาะจงที่เมือง Southampton ก็คงอย่างที่พูดไป คือ มี่ชอบที่เป็นเมืองสบายๆ บรรยากาศดี ผู้คนน่ารัก ไม่วุ่ยวายค่ะ แต่ถ้าเป็นประเทศอังกฤษโดยรวม มี่ประทับใจเรื่องสถานที่ท่องเที่ยว มี่รู้สึกว่าเค้าดูแลและให้ความสำคัญกับสถาปัตยกรรมต่างๆมาก อีกอย่างคือที่นี่ให้อิสระด้านการแต่งตัวและการแสดงออกมาก ซึ่งมี่ว่ามันช่วยเน้นให้คนมีความเป็นตัวของตัวเองและกล้าแสดงออก รวมถึงที่มี่ประทับใจอีกเรื่องคือ การที่เค้าให้ความสำคัญกับคนทุพพลภาพหรือคนพิการมากจริงๆ สาธารณูปโภคในทุกๆสถานที่และพาหนะเดินทางต่างๆจะมีการอำนวยความสะดวกเพื่อให้คนพิการสามารถใช้งานได้เสมอ ซึ่งช่วยส่งเสริมให้คนทุพพลภาพในประเทศเค้าช่วยเหลือตัวเองได้ ออกมาทำกิจกรรมต่างๆนอกบ้านและสามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นๆในสังคมได้เป็นอย่างดี ไม่รู้สึกถูกกีดกันหรือทำให้เค้ารู้สึกแตกต่างจากคนปกติเลย
ถ้าเป็นไปได้ คุณอยากให้นักเรียนไทยไปเรียนที่อังกฤษมากขึ้นหรือไม่?
มี่ว่าสำหรับคนที่กำลังคิดเรื่องเรียนต่อต่างประเทศ อังกฤษก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจค่ะ เพราะระบบการเรียนการสอนที่นี่ส่งเสริมให้นักศึกษารู้จักคิดวิเคราะห์แบบเป็นระบบและรอบด้านมากขึ้น และเน้นการสอนที่เราสามารถเอามาประยุกต์ใช้ในการทำงานได้จริง จึงมีประโยชน์มากๆสำหรับการนำมาใช้ในการทำงานในอนาคต รวมถึงมหาวิทยาลัยในอังกฤษจะเน้นเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรมของนักศึกษาเป็นสำคัญ ซึ่งช่วยให้เราได้รับประสบการณ์ดีๆ จากการมีโอกาสได้รู้จักกับเพื่อนต่างชาติซึ่งมาจากหลากหลายประเทศทั่วโลก และได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่น่าสนใจของแต่ละชาติค่ะ โดยส่วนตัวคิดว่าสำหรับคนที่ไม่ชอบเมืองใหญ่พลุกพล่านเหมือนมี่ Southampton ก็น่าจะเหมาะกับคุณ เพราะเป็นเมืองที่ร่มรื่นน่าอยู่ ผู้คนอัธยาศัยดี ปลอดภัย และสิ่งอำนวยความสะดวกครบ
คำแนะนำที่จะให้กับนักเรียนไทยที่อยากไปเรียนที่อังกฤษ
สำหรับคนที่เป็นเหมือนมี่ คือ ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษมาก ในช่วงแรก ภาษาจะเป็นอุปสรรคใหญ่ในการเรียนและการใช้ชีวิตที่อาจทำให้เราท้อแท้ แต่อย่าท้อถอยค่ะ มันจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆเอง ที่สำคัญคือควรออกไปข้างนอก ทำความรู้จักและพูดคุยกับเพื่อนต่างชาติ แม้แค่การเดินเล่นในเมืองและฝึกตัวเองให้คุ้นเคยกับสำเนียงและวิธีพูดที่ผู้คนที่นี่เค้าคุยกัน มี่ว่ามันก็มีส่วนสำคัญในการช่วยให้เราคุ้นชินกับภาษาและพัฒนาทักษะการสื่อสารของเราได้ แถมยังได้เรียนรู้วัฒนธรรมของคนที่นี่ด้วย เรามีโอกาสได้มาเรียนต่อที่ต่างประเทศแล้ว ก็ควรใช้เวลาที่มหาวิทยาลัยกับเพื่อนๆต่างชาติและวัฒนธรรมที่หลากหลายที่นี่ให้คุ้มค่า อย่าพยายามขลุกอยู่แต่กับคนไทยด้วยกันเองตลอดเวลา เพราะไม่อย่างนั้นเราจะไมได้พัฒนาในเรื่องของภาษาและไม่ได้เรียนรู้แนวคิดอื่นๆเลย อีกข้อที่สำคัญคือ ให้ใช้ชีวิตให้เต็มที่ค่ะ ยิ่งสำหรับคนที่จะมาเรียนปริญญาโทซึ่งคอร์สเรียนที่อังกฤษจะกินเวลาแค่ปีเดียว ทุกอย่างมันจะผ่านไปไวมาก ต้องบริหารและแบ่งเวลาให้เป็นค่ะ อย่าเอาแต่เรียนและเครียดอย่างเดียว ออกไปเปิดโลกและเปิดหูเปิดตา ท่องเที่ยวในอังกฤษและยุโรปด้วย เติมสีสันให้ชีวิตและสนุกกับการมาเรียน จะได้มีประสบการณ์ดีๆน่าประทับใจและไม่ต้องมานึกเสียใจภายหลัง “Work hard, Play hard” ค่ะ
------------------
ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องเรียนต่ออังกฤษที่น่าสนใจ
สถาบันการศึกษาในอังกฤษ ที่เปิดสอนหลักสูตร Management
หลักสูตรการเรียนต่อในอังกฤษ
สถาบันและระบบการศึกษาในอังกฤษ