
ระบบคะแนน
ทำความรู้จักระดับคะแนน IELTS กันก่อนล่ะกัน คือเขาจะแบ่งออกเป็นตั้งแต่ระดับ 1-9 สำหรับแต่ละทักษะ สอบเป็นฟัง พูด อ่าน เขียน พอได้คะแนนในแต่ละพาร์ทมาแล้ว เขาก็จะเอามาหารแล้วได้ออกมาเป็น Overall Score เช่นว่าบางที่อาจจะรับเฉพาะคนที่ได้คะแนนรวม 6 ขึ้นไปเท่านั้น ห้ามมีส่วนไหนได้ต่ำกว่า 5 ไรแบบนี้ (แต่ก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะบางมหาวิทยาลัยก็มี Presessional Courses ปรับพื้นฐานภาษาสำหรับคนที่คะแนนไม่ถึง)
ในขณะเดียวกันคะแนน TOEFL จะแบ่งตามทักษะ และนำคะแนนรวมของทุกทักษะมาใช้เป็นคะแนนสุดท้าย ยกตัวอย่างเช่น TOEFL iBT 120 คะแนน จะแบ่งเป็นทักษะละ 30 คะแนน คะแนนรวมของทุกทักษะจะบอกถึงความถนัดทางภาษาของเราว่าได้กี่คะแนน ดูการเปรียบเทียบระบบคะแนนด้านล่าง
รูปแบบการสอบ
1. การอ่าน (Reading)
IELTS
มีหัวข้อให้อ่าน 3 บทความ โดยแต่ละส่วนจะมีเวลาให้ตอบคำถาม 20 นาที แต่ละหัวข้อเป็นแนววิชาการและคำถามจะมีหลายรูปแบบมากกว่า (เติมคำในช่องว่าง, เลือกถูกผิด, multiple choice เป็นต้น)
TOEFL
ต้องอ่านบทความที่ยาวประมาณ 3-5 ย่อหน้าสั้นๆ และตอบคำถามแบบ multiple choice ภายใน 20 นาที โดยหัวข้อจะเป็นแนววิชาการ
1.เวลา - จำนวนคำถาม
อันนี้เวลารวม 60 นาที เท่ากันทั้ง TOEFL และ IELTS จำนวนจะแบ่งเป็น 3 (ถ้ายาว)– 5 (สั้นๆ) หัวข้อบทความ แต่ส่วนมากคือ 3 และแต่ละบทความจะมี 13-14 ข้อ สำหรับแง่นี้ก็เสมอกันไป
2.ประเภทแนวบทความ
บทความ IELTS จะหลากหลายกว่า มีทั้งวารสาร งานวิจัย สรุปข่าวสถานการณ์ หนังสือพิมพ์ ซึ่งออกแนวกว้างคือนอกห้องเรียนด้วย แล้วก็รอบตัวกว่า ถ้าเราค่อนข้างรู้รอบๆ ไอเอลก็น่าจะเข้าทางกว่า
บทความ TOEFL เน้นด้านวิชาการกว่าคือจะเอาบทความที่ตัดมาจากหนังสือเรียน (textbook) ซึ่งเป็นสาระที่ค่อนข้างลึกและเขียนบรรยายเชิงวิชาการ ซึ่งข้อดีก็คือ ถ้าเป็นFiled ที่เรามีความรู้อยู่บ้างก็จะโชคดีไป ข้อเสียคือ บางทีบทความอาจจะตัดมาจาก Textbook เกี่ยวกับชีววิทยา เด็กสายศิลป์ก็หงายไปตามๆกัน แต่เค้าก็พยายามจะเลือกเนื้อหาของบทความให้คละๆเรื่องไป
3. วิธีอ่านคำถามและหาคำตอบ
แนวคำถาม TOEFL จะเน้นที่ comprehension คือ การตีความและความเข้าใจใน paragraph นั้นๆ เช่นย่อหน้านี้ สรุปว่าอย่างไร ( in the first paragraph xxx imply that xxxxคือ หน้าที่เราคืออ่านบทความ และตีความ ใน เนื้อหาตรงนั้น และเอามาตอบคำถาม
หรือโจทย์จะถามความหมายคำศัพท์ก็เป็นคำถามแบบเป๊ะๆ คือ ถ้าคุณรู้ความหมาย คุณก็ทำข้อสอบได้เลย แต่ถ้าไม่รู้ก็อาศัยอ่านประโยคบริบท แล้วก็ประมวลคำตอบได้
ซึ่งทักษะตรงนี้จะได้ใช้มากในระหว่างเรียน เพราะเราต้องอ่านหนังสือเองเยอะมาก ทั้งก่อนเรียน และหลังเรียน ถ้าเรามีทักษะการสรุปที่ดีก็จะทำให้อ่านหนังสือเร็ว และเข้าใจประเด็น ลองคิดดูว่าหนังสือหนาเท่าเต้าหู้ 5 ก้อน เค้าไม่ได้ต้องการให้เราจำให้หมด แต่ต้องการให้เรารู้ทฤษฎีวิธีคิดเพื่อเอาไปถกว่าดีหรือไม่ดี มันเหมาะกับอะไร และจะเอาไปใช้จริงได้ยังไง ตรงนี้ที่นักเรียนไทยตกม้าตายกันมาหเพราะระบบการเรียนของเมืองนอกต่างจากบ้านเรายิ่งนัก คือ เถียงอาจารย์ได้เลยแต่ต้องมาพร้อมเหตุผล
ในขณะที่แนวคำถาม IELTS จะเน้นการตีความมากกว่าทั้งคำถามและคำตอบ คำถามต้อง อ่านดีๆ ว่าเค้าถามอะไร เช่นบางทีไม่ถามตรงๆ ถามความรู้สึกของผู้เขียน ส่วนการหาคำตอบก็ใช่ว่าจะต้องกวาดตาอ่านจนหมด เพราะเราจะต้องหา Keyword หรือเรื่องที่ถามอยู่ตรงบรรทัดไหน จะใช้เวลาในการขบคำตอบนานกว่า เพราะเรามีเวลาที่จำกัด
2. การฟัง
TOEFL
มีเวลาให้ฟัง 40-60 นาที โดยอาจเป็นบทสนทนาหรือการบรรยาย ซึ่งเราจะต้องตอบคำถาม multiple choice ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
IELTS
การฟังของ IELTS จะต้องตอบคำถามหลายรูปแบบมีทั้งเติมคำ ใส่ข้อมูลแผนภาพ/แผนที่ ซึ่งเราจะต้องฟังและตอบคำถามไปพร้อมๆ กัน ส่วนความยาวของการสอบจะไม่แน่นอน เปลี่ยนไปตามบทสนทนา
TOEFL เน้นฟังโดยไม่มีคำถามหรือตัวข้อสอบให้เห็นก่อน ซึ่งความท้าทายก็คือการจับใจความ และ โดยหัวข้อจะเป็นเรื่องทั่วไปเช่นชีวิตประจำวันบ้าง บทสนทนาในชีวิตประจำวัน มาตอบโจทย์ซึ่ง ใช้ทักษะการสรุปเนื้อหาเป็นหลัก อันนี้ต้องอาศัยฝึกฟังเยอะๆ
แต่ IELTS จะได้เห็นโจทย์ก่อน ซึ่งเป็นข้อดีเพราะจะทำให้เราเตรียมหูได้ถูกว่าเรื่องจะเกี่ยวกับอะไร และคำถามที่ต้องตอบคืออะไร แต่ก็อย่าไปยึดติดมากเพราะบางทีก็ยังมีเรื่องของการตีความเข้ามาเกี่ยวด้วย จะมีคำถามที่ถามเกี่ยวกับคำศัพท์ว่าแปลว่าอะไรอยู่หลายข้อ ถ้าหากเรารู้ Vocabulary เยอะก็จะช่วยได้มาก
ข้อควรระวัง
- อย่าพะวงกับคำถามมากเกินไปจนทำให้ลืมฟังเรื่อง ให้อ่านโจทย์อย่างรวดเร็วให้เข้าใจก็พอ แล้วใช้สมาธิกับการฟังดีกว่า
- หากเลือกสอบไอเอล แนะนำฝึกเรื่อง คำศัพท์ (Vocabulary) แนะนำให้อ่านเยอะจากสื่อภาษาอังกฤษหลายๆแบบ สื่ออื่นๆ ที่ไม่ใช้หนังสือเรียนช่วยได้มาก แมกกาซีน ดูหนังก็ปิดซับรอบแรก เปิดซับรอบสอง และอ่านหนังสือพิมพ์ก็ช่วยได้มากและจะพัฒนาได้เร็วกว่า Skill อื่นๆ เพราะหัวข้อในข้อสอบฟังเป็นเรื่องทั่วๆ ไปที่ไม่ได้ซับซ้อน แต่ส่วนใหญ่ติดปัญหาเรื่อง มีเวลาพัฒนาทักษะน้อยไปซะมากกว่า
- ดูบริบทแล้วพยายามตีความกว้างๆ หาเป็นความหมายในทางบวก หรือลบ แปลว่าน้อยหรือมาก ถึงเวลาเรียนจริงไม่มีใครรู้คำศัพท์ทุกคำหรอกรับรอง จากประสบการณ์พาร์ทฟังเป็นส่วนที่จะเพิ่มคะแนนได้ง่ายที่สุด เพราะคำถามไม่ได้ยาก วิธีการถามก็ไม่ได้ซับซ้อน เช่นเติมคำศัพท์ลงในช่องว่าง
3. การเขียน
TOEFL
การเขียนทั้งหมดจะใช้ระบบคอมพิวเตอร์ Lesson1 จะระบุให้เราเขียนเรียงความประมาณ 5 ย่อหน้า ยาว 300 - 350 คำ ในส่วนที่สองเราจะต้องอ่านบทความและฟังการบรรยายในหัวข้อที่กำหนด จากนั้นค่อยเขียนเรียงความยาว 150 - 225 คำ ตามโจทย์ที่กำหนด
IELTS
การเขียน Part 1 จะให้เราเขียนอธิบายข้อมูลที่เห็น ซึ่งอาจเป็นตาราง กราฟ หรือแผนภาพต่างๆ โดยในส่วนนี้จะให้เขียน 150 คำ ในส่วนที่ 2 จะต้องเขียนเรียงความแสดงความคิดเห็นต่อหัวขอที่เป็นที่ถกเถียงกัน ยาวประมาณ 250 คำขึ้นไป
4. การพูด
TOEFL
เราจะต้องตอบคำถามกับคอมพิวเตอร์โดยมีเวลาประมาณ 45 - 60 วินาที ซึ่งจะต้องตอบคำถามเกี่ยวกับบทสนทนาหรือคำบรรยายสั้นๆ 6 คำถาม ใช้เวลา 20 นาที
IELTS
การพูดของ IELTS จะใช้เวลาประมาณ 12 - 14 นาที โดยเราจะต้องพูดกับกรรมการที่เป็นชาวต่างชาติโดยตรง การพูดจะเริ่มด้วยการแนะนำตัว ตอบคำถามจากภาพหรือหัวข้อที่ทางกรรมการกำหนดและจบลงด้วยการอภิปรายหัวข้อที่เป็นที่ถกเถียงกัน
ความนิยมของการสอบ IELTS และ TOEFL
ตามปกติแล้วการสอบ IELTS จะเป็นที่นิยมมากกว่าในสหราชอาณาจักรและยุโรป ส่วน TOEFL จะเป็นที่นิยมในสหรัฐอเมริกา แต่ในปัจจุบันมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่เริ่มยอมรับผลการสอบทั้งสองแบบแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในสหรัฐอเมริกาหรือสหราชอาณาจักร ดังนั้นเราจะเลือกสอบอะไรก็ได้
เวลาในการสอบ
การสอบ TOEFL จะกินเวลาประมาณ 4.5 ชั่วโมง โดยระบบคอมพิวเตอร์ทำให้เวลามีความแน่นอน ส่วนการสอบ IELTS จะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 45 นาที รวมถึงเวลาที่สอบพูดกับกรรมการด้วย เราสามารถฝึกทำข้อสอบให้เคยชินได้ที่เว็บไซต์ทางการของ IELTS และ TOEFL ก่อนไปสอบจริง
จะสอบอะไรดีล่ะ? IELTS หรือ TOEFL?
เราแนะนำให้น้องๆ เลือกสอบตามความถนัดของตัวเองดีกว่าค่ะ โดยอาจจะคำนึงถึงหัวข้อต่างๆ ต่อไปนี้
- การออกเสียงแบบ British หรือ American: ถ้าเราคุ้นเคยกับสำเนียง American อาจจะรู้สึกว่าสำเนียงอังกฤษในการสอบ IELTS ฟังยากกว่านิดหน่อย ถึงจะแตกต่างกันไม่มากแต่ก็อาจส่งผลกระทบต่อคะแนนการฟังของเราได้
- รูปแบบการสอบและการเขียนเรียงความ: สำหรับคำถามแบบ multiple choice ของ TOEFL เราอาจต้องมีการให้เหตุผลและความสามารถในการจินตนาการซักหน่อย ส่วนการสอบ IELTS จะเน้นให้ตอบคำถามแนวเรียงความ เช่นการฟังและเติมคำในช่องว่าง หรือหาคำตอบจากการอ่าน/บทสนทนา ซึ่งเน้นความจำที่ดีและการจดโน้ตในสิ่งที่สำคัญ
- การถามคำถาม: ในการสอบ TOEFL จะมีเพียงคำตอบที่ถูกหรือผิด ในขณะที่การสอบ IELTS มีตัวเลือกเช่น “ไม่ได้พูดถึงข้อมูลดังกล่าว” (information was not mentioned) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญหากถูกถามให้อภิปรายหัวข้อในการสอบ
- รายละเอียด: ในการสอบ TOEFL หลายๆ คนบอกว่าถึงแม้จะใช้แกรมม่าผิดไปบ้าง แต่ถ้าบทความได้รับการพูดถึงอย่างละเอียดและมีคำศัพท์ที่ถูกต้องก็ยังได้คะแนน แต่ถ้า IELTS จะต้องเป๊ะทุกรายละเอียดทั้งรูปแบบการเขียนและคำศัพท์ด้วย
ตัวเลือกสำหรับคนที่ตั้งใจไปเรียนต่อ UK
สำหรับคนที่สนใจไปเรียนต่อสหราชอาณาจักรอาจจะต้องดูให้ดีว่าสถาบันที่ต้องการไปศึกษาต่อนั้นมีเกณฑ์ให้สอบแบบไหน แต่ว่ามหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ในสหราชอาณาจักรจะให้สอบ IELTS เพราะฉะนั้นเรามาทำความรู้จักกับการสอบ สอบ IELTS แบบใหม่ IELTS UKVI สำหรับขอวีซ่าอังกฤษ
ผู้ที่ต้องการศึกษาต่อระดับปริญญาตรีและโท หรือมองหางานทำในสหราชอาณาจักรนั้นจะต้องสอบข้อสอบประเภท IELTS Academic ซึ่งเป็นข้อสอบที่ประกอบไปด้วยการฟัง อ่าน เขียน และพูด ในด้านข้อสอบไม่มีความแตกต่าง แต่จะมีมาตรฐานการคุมสอบที่เปลี่ยนไป (ราคาก็เพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อน ตอนนี้ราคาอยู่ราวๆ 8,800 สำหรับ UKVI ข้อมูลปี 2019)
เพราะฉะนั้นนอกจากจะเช็คว่าสอบอันไหนดีก็ต้องเช็คอีกว่าต้องสมัครสอบประเภทไหนเพราะอย่างการสอบไอเอลก็มีหลายประเภทอีกนะ ไปทำความรู้จักไอเอลประเภทอื่นๆ ได้ในบทความของเราเลย
เทียบคะแนน IELTS และ TOEFL (เป็นเพียงการอ้างอิงเท่านั้น)
IELTS TOEFL (paper-based) TOEFL (internet-based)
4.5 477 53
5.0 500 61
5.5 527 71
6.0 553 82
6.5 580 92
7.0 617 105
Q&A ช่วงสุดท้าย
จริงไหมที่ถ้าจะเรียนต่อสหราชอาณาจักรกับออสเตรเลีย ต้องสอบ IELTS เท่านั้น?
ก็อันที่จริงแล้ว ไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น แต่อันนี้ก็แนะนำว่าให้ดูความต้องการของมหาวิทยาลัยเขาหน่อย บางที่อาจจะกำหนดเลยว่าต้องสอบแบบ UKVI เท่านั้น ก็ต้องสอบเน้อ
อยากเตรียมตัวแต่ไม่อยากเสียเงินเยอะๆ ต้องทำไง?
อ่าาา ทาง Hotcourses เคยรวมสุดยอดเว็บไซต์สำหรับเตรียมตัวสอบ IELTS เอาไว้แล้วครั้งหนึ่ง จะบอกว่าการเข้าเว็บไซต์ที่เป็นภาษาอังกฤษมันช่วยให้เรา ซึมซับภาษาเข้าไปทีละเล็กละน้อยเลยนะ อาจจะไม่เห็นผลทันทีทันใด แต่ก็บอกได้เลยว่า สกิลการอ่านการเขียนก็ต้องดีขึ้นแน่นอน
ชอบอ่านฟังมากกว่าสอบพูดเขียนทำไง?
อืมมม มาคิดๆ ดูแล้วเรามองว่า TOELF มันแอบยากกว่า IELTS ในส่วนของพาทอ่านฟังนะ สำหรับเราเรามองว่า IELTS เขาคิดคะแนนไม่ได้โหดขนาดนั้น แล้วข้อสอบก็ค่อนข้างตรงไปตรงมามากเลยทีเดียวแหละ แต่ถ้าคนไหนถนัดพิมพ์ เดี๋ยวนี้ทั้ง TOELF กับ IELTS ก็มีสอบแบบคอมพิวเตอร์กันแล้วนะ