เด็กจบใหม่ ไม่มีประสบการณ์การทำงาน หรือประสบการณ์น้อย ควรเขียน CV หรือ resume ภาษาอังกฤษยังไงดี
เด็กจบใหม่หลาย ๆ คนอาจจะมีปัญหาว่าอ้าว ถึงเวลาสมัครงานแล้ว แต่จะเขียน CV หรือเรซูเม่ยังไงดีล่ะ ก็เพิ่งเรียนจบมาสด ๆ ร้อน ๆ เลยยังไม่มีประสบการณ์เอาไปใส่ในใบสมัครงานนี่ ยิ่งจะให้เขียนเป็นภาษาอังกฤษยิ่งงงไปใหญ่เลย โอ๊ยยย ปวดหัวมากนะ
พวกเรา Hotcourses Thailand เข้าใจเรื่องนี้ดีค่ะ วันนี้เราเลยยกตัวอย่างการเขียน CV หรือ resume ภาษาอังกฤษในเวอร์ชั่นเด็กจบใหม่มาให้ดูกัน ใครไม่รู้ว่าจะเริ่มเขียนเรซูเม่เพื่อสมัครงานยังไง หรือจะเขียนยังไงให้ได้งาน มาลองอ่านกันค่า
1. วางแผนว่าจะเขียนอะไรใน cv หรือ resume บ้าง
การวางแผนคือการเริ่มต้นการเขียนที่ดีที่สุด พูดง่ายๆ คือ summarize ตัวเองให้ได้ว่าเรามีอะไรบ้าง ถ้านึกไม่ออกว่าจะเริ่มยังไง แนะนำให้ลองตอบคำถามเหล่านี้ดูค่ะ แล้วลิสต์คำตอบออกมาเป็นข้อ ๆ เลย
- เราผ่านอะไรมาบ้าง ทำงาน ทำกิจกรรมอะไรบ้างไหม
- ความสำเร็จที่ผ่านมามีอะไรบ้าง
- มีรางวัลที่เคยได้รับไหม
ถ้าเคยฝึกงานหรือทำงานพาร์ทไทม์ที่ดูจะไม่เกี่ยวกับงานที่เราไปสมัคร เช่น งานเสิร์ฟอาหาร เราสามารถเลือกทักษะที่เราได้ฝึกจากงานนี้ไปใช้สมัครงานได้ เช่น การทำงานเป็นทีม, การรับมือกับลูกค้า และการคำนวณรายรับรายจ่าย เป็นต้น
แต่ถ้าไม่เคยทำงานมาก่อนเลย ก็อาจจะลองดูว่าขณะเรียนเรามีทักษะอะไรที่ได้ฝึกและทำได้ดี เช่น สามารถทำงานได้ตามกำหนดเวลาตลอด, เข้าเรียนอย่างตั้งใจทุกครั้ง หรือแม้กระทั่งพูดถึงเรียงความและรายงานที่ได้รับคำชม - ลองเขียนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนแล้วค่อยเอามาเลือก
2. อย่าโกหก อย่าใส่อะไรเว่อร์ ๆ ในใบสมัครงานนะ อาจบ้งได้
หลายๆ คนคิดว่าถ้าใส่คำศัพท์สวยๆ ยากๆ แล้วจะเป็นที่เตะตา แต่ว่าบางทีก็อาจจะดูเวอร์ไป หากเราใส่ประสบการณ์ทำงานหรืออาสาสมัครที่ไม่ได้ทำจริงลงไป ทางบริษัทอาจขอ References ได้ และตัวเราเองนี่แหละที่จะเจอปัญหา ดังนั้นเราจึงไม่ควรโกหกคำโตลงไปใน CV แต่อาจจะใช้คำที่ฟังดูดีขึ้นเล็กน้อยแทน เช่น หากเราได้สอนหนังสือน้องหรือญาติเป็นประจำ ก็อาจจะบอกว่า Tutored Maths for high school kids for 2 years เป็นต้น
3. ถ้าไม่มีประสบการณ์การทำงานเลย เราก็เน้นเขียนเกี่ยวกับประวัติการศึกษาของเราก็ได้
ถ้าไม่มีประสบการณ์ทำงานเลย ก็เอาประวัติการศึกษาของเรานั่นแหละมาเขียนให้มีประโยชน์ ไม่ต้องใส่ทุกวิชาที่เราเรียน แต่เลือกจัดกลุ่มวิชาที่น่าสนใจ เช่น 3 As, including ___ ___ and ___, 5 Bs, including ___. เป็นต้น โดยเลือกรายวิชาที่คิดว่าผู้ว่าจ้างจะสนใจหรือเกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานของเราไปใส่ ส่วนคนที่ยังเรียนไม่จบก็เลือกเฉพาะรายวิชาที่มีอยู่ก็พอ
ยิ่งถ้าวิชาไหนได้คะแนนดี ๆ ก็เขียนให้มันเด่น ๆ ออกมาเลยค่ะ ยิ่งถ้ามันเกี่ยวกับสาขาหรืองานที่เราสมัคร ยิ่งน่าเขียน
รวมทุกเรื่องเกี่ยวกับการเขียน CV resume เพื่อสมัครงาน เอาแบบสมัครปุ๊บมีลุ้นเลย
10 ข้อที่ไม่ควรทำในการเขียน Resume สมัครงาน
วิธีการเขียนที่อยู่เป็นภาษาอังกฤษ เพื่อใช้เขียน Resume สมัครงานและเรียนต่อ
ทำอะไรตอนเรียน ถึงจะได้งานเร็วตอนเรียนจบ
4. หาประสบการณ์ทำงานเพิ่มเติม
ถ้า CV มันโล่งจริงๆ ก็ลองไปหาอะไรทำซักหน่อยก็ดีนะคะ จะเป็นงานพาร์ทไทม์ การฝึกงาน หรือการเป็นอาสาสมัครก็ได้ ถ้าหาไม่ได้จริงๆ งานบางอย่างถึงเราจะไม่ได้เงิน แต่เราจะได้ประสบการณ์และความคุ้นเคยกับการทำงานที่ดี แถมยังทำให้เรามีความแตกต่างจากคู่แข่งคนอื่น ๆ อีกด้วย หรืออย่างการฝึกงานแม้จะได้เงินน้อยหรือไม่ได้เลยก็มีประโยชน์ในการสร้างประสบการณ์ ได้คอนเนคชั่นเพิ่ม เผลอ ๆ ถ้าทำดี เค้าเสนองานให้เลยนะเอ้า
5. อย่าเขียน cv หรือ resume ยาวเกินไป เอาแค่ไม่เกิน 1 หน้ากระดาษจะดีมาก
โอเค ถึงประวัติเราจะยาวเหยียดและสวยงาม แต่อาจจะไม่ได้ทำให้ผู้คนประทับใจเสมอไป เพราะการอ่าน CV ทางองค์กรต้องอ่านวันละหลายร้อยฉบับ ดังนั้น CV ที่สั้น กระชับ ชัดเจน จะทำให้บริษัทหรือมหาวิทยาลัยเข้าใจเราได้ดีกว่าการพร่ำพรรณาโวหาร ไม่มีใครอยากรู้อัตชีวประวัติของเรา เพราะฉะนั้นใส่อะไรที่เราทำได้จริงๆ ก็พอ (ไม่ควรยาวเกิน 1 หน้ากระดาษ)
อยากไปเรียนต่อ แล้วอยู่ทำงานต่อต่างประเทศ
มาอ่านตรงนี้ค่า
รวม 4 ประเทศยอดฮิต น่าเรียนต่อและอยู่ทำงานต่างประเทศ
ส่องสนามแข่งวีซ่าทำงานหลังเรียนจบ ประเทศไหนขอยาก ประเทศไหนได้ง่าย มาดูกัน
อัพเดทวีซ่าทำงานหลังเรียนจบในต่างประเทศ (post study work) อยากทำงานหลังเรียนต่อต่างประเทศ ควรอ่าน
6. ถ้าไม่รู้จะเขียนอะไรใน cv หรือ resume แล้ว ลองเพิ่มด้วยการเขียนทักษะที่ได้ลงไปก็ช่วยได้นะ
ถ้าไม่มีเนื้อหาจริงๆ ลองยกตัวอย่างให้ทางองค์กรเห็นภาพทักษะเรามากขึ้นก็ได้ เช่น ถ้าเราบอกว่าเราทำงานเป็นทีมได้ดี ลองยกตัวอย่างสถานการณ์ในมหาวิทยาลัย หรือตอนฝึกงานมาเล่าให้เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ถ้าเป็นพนักงานเสิร์ฟ ก็ไม่จำเป็นต้องเขียนว่าสิ่งที่ทำคือรับออร์เดอร์ แต่ลองใส่ทักษะที่ได้ เช่น 'appeased difficult customers' (รับมือลูกค้าที่รับมือยาก) หรือ 'managed time effectively in a fast-paced environment' (จัดการเวลาได้ดีเยี่ยมแม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่เน้นความรวดเร็ว) เห็นไหมว่าฟังดูดีกว่าเก็บจานตั้งเยอะ
7. จัดรูปแบบ วางเลย์เอาท์ cv หรือ resume ของเราให้ดี คลีน ๆ สวย ๆ อ่านง่าย
CV ของเราควรจะอ่านง่ายแม้แค่กวาดสายตาผ่าน โดยในด้านบนควรจะพูดถึงข้อดีที่สุดและน่าประทับใจที่สุดของเราเอาไว้ (ถ้าสมัครบริษัทหรือองค์กรไทย ต้องติดรูป แต่ถ้าสมัครมหาวิทยาลัยหรือที่ทำงานเมืองนอก ไม่ต้องติดรูปนะจ๊ะ) รวมทั้งอีเมลที่ติดต่อได้ (เป็นทางการหน่อยนะไม่ใช่สมัยม.ต้น) และ Personal Statement เล็กๆ ตามด้วยการศึกษา ประวัติการทำงาน ทักษะ และความสำเร็จ (บางที่จะขอให้ใส่งานอดิเรกเข้าไปด้วย) และอย่าลืมทิ้งท้ายข้อมูลติดต่อของผู้อ้างอิงของเรา (อาจารย์หรือเจ้านายเก่า) เพราะทางบริษัทอาจติดต่อพวกเขากลับไปได้... ลองดูตัวอย่างด้านล่างเลย
8. เขียน Personal Statement ให้เหมาะกับงานที่ทำ
Personal Statement คือย่อหน้าเปิดของ CV ที่พูดถึงตัวเราแบบสั้นๆ แต่เกี่ยวข้องกับงานหรือมหาวิทยาลัยที่เราต้องการสมัคร พูดง่ายๆ ก็คืออธิบายตัวเราและโกลของเรานั่นเอง พยายามใส่ว่า เราทำอะไรมาแล้ว กำลังทำอะไรอยู่ และตั้งเป้าว่าจะทำอะไรต่อไป (เรามองเห็นอนาคตการทำงานของเราอย่างไร) แต่อย่าใช้คำสรรพนามว่า ‘I’ ถ้าเป็นไปได้ เพราะจะฟังดูไม่เป็นทางการเอาเสียเลย
9. ไม่ต้องบอกเค้าว่าเรามีเรื่องแย่อะไรบ้าง
การเขียน CV ว่า “หนูไม่ค่อยมีประสบการณ์อะไร” ไม่ได้ทำให้เราดูเป็นคนถ่อมตัว แต่ทำให้ผู้จ้างอยากจะทิ้ง CV เราลงถังขยะมากกว่า ทางที่ดีลองปรับจุดอ่อนให้เป็นจุดแข็ง เช่น ถ้าเคยวาดการ์ตูนกับเพื่อน อาจจะบอกว่า “ได้รับการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ด้วยการวาดภาพ” หรือถ้าเป็นคนอารมณ์ร้อน อาจบอกว่า “เป็นคนมีความมุ่งมั่นที่จะไปถึงเป้าหมายให้เร็วที่สุด” แทน
คงเห็นภาพมากขึ้นกับการเขียน CV อย่าเพิ่งตกใจไปว่าตัวเองไม่มีประสบการณ์เพราะว่าหลาย ๆ อย่างที่เราเคยทำก็สามารถเอามาใช้เป็นประสบการณ์ได้นะ :)
updated by: Anuchana P